วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตาทิพย์





เมื่อเอ่ยถึงเรื่องผีๆ สางๆ ขึ้นมาในหมู่เพื่อนฝูง รับรองว่าจะต้องมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อว่าผีมีจริง รวมทั้งคนกลัวผีกับไม่กลัวผี แต่ส่วนมากมักจะเชื่อและกลัวนะครับ หลายๆ คนยอมรับว่าไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้งเดียว แต่ก็กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ

แม้แต่คนหนุ่มๆ สาวๆ ทันสมัยก็ยังพูดจาตามยุคสมัย บอกว่า...เป็นอะไรที่...แบบว่า...ไม่อยากเจอะเจอที่สุด... กลัวดิ!

ส่วนคนไม่กลัวผีก็บอกว่า เรื่องผีเป็นเรื่องเหลวไหวเอาไว้หลอกเด็ก พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีตัวตน ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว...ผงธุลีจะยังมีฤทธิ์เดชอะไรอีกล่ะ?

วันนี้ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าให้ฟัง และให้ท่านช่วยพิจารณาว่าผีมีจริงหรือไม่?

สมัยเด็กๆ ผมอยู่แถววัดสิงห์ ย่านบางพลัด ลงสะพานกรุงธนฯ ผ่านภัตตาคารเรือนแพแล้วเลี้ยวซ้าย...ที่นั่นมีชายชราอายุหกสิบเศษชื่อตา เครือ ชอบนั่งซดเหล้าโรงอยู่ที่ม้ายาวหน้าบ้าน มองดูผู้คนผ่านไปมา เด็กๆ วิ่งเล่นเกรียวกราวในตอนเย็น

ชาวบ้านลือกันว่าแกเคยบวชอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน มี "ตาทิพย์" จากวิปัสสนากรรมฐาน จนสามารถเห็นวิญญาณต่างๆ ได้อย่างชัดเจนเหมือนเรามองเห็นคนเป็นๆ นี่เอง

เมื่อสึกหาลาเพศมาได้ครอบครัวก็ประกอบอาชีพค้าขาย กระทั่งมีฐานะมั่นคงและชราแล้วจึงวางมือให้ลูกหลานทำการงานต่อไป

ตาเครือรูปร่างผอมสูง ผมขาวโพลน ชอบนุ่งกางเกงแพรกับสวมเสื้อคอกลม เป็นคนแก่ใจดี รักเด็กๆ ในย่านนั้นเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน มีขนมแจกบ้าง มีของเล่นแจกบ้าง บางวันก็ควักสตางค์ให้เด็กๆ ไปซื้อขนมกิน ตาเครือมักจะยิ้มมากกว่าพูด แต่บทจะพูดขึ้นมาก็มักจะพูดยืดยาว

ผมเคยถามแกว่า...เขาว่าตามองเห็นผีจริงๆ หรือ?

"โอย...เยอะ!" แกตอบยิ้มๆ มองนั่นมองนี่ตามเคย "รอบๆ ตัวเรามีเยอะด้วย โบราณถึงสอนว่าจะทำอะไรไม่ดีไม่งาม�
��็ให้รู้จักอับอายผีสางเทวดา เพราะถึงคนจะไม่เห็น แต่ผีสางเทวดาก็เห็น"

ผมหันซ้ายหันขวาตามสายตาแก แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้นเอง

"ตาเห็นอะไรล่ะครับ?"

"ก็วิญญาณน่ะซี! มากมายพอๆ กับคนเรานี่เอง บางทีมากันแน่นเชียวแทบจะชนกันด้วยซ้ำ...นั่น! ยายกิ่งกับยายกลอย โน่น! ตาแฉ่งกับลุงชื้น...พ่ออั๋นกับแม่อ่อน อ้าว? เป็นไงมั่งเจ้าเปี๊ยก โดนรถชนตายแล้วยังวิ่งซนตามเคย นะเอ็ง"

ตาเครือพูดกับใครที่อยู่ข้างๆ ผม แถมเอื้อมมือไปลูบไล้อากาศว่างเปล่า แต่ท่าทางคล้ายกำลังลูบหัวเด็กอยู่ไม่มีผิด...เล่นเอาผมงี้ขนลุกซ่าไปเลย

จนถึงวันเกิดเรื่องน่าขนหัวลุกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลยจนวันตาย!

ตาเครือแจกเงินเด็กๆ ไปซื้อขนมแล้ว แต่ผมเห็นแกนั่งเงียบๆ ซึมๆ เป็นเชิงว่าไม่อยากพูด...หรืออาจจะเริ่มเมาแล้วก็ได้ จำได้ว่าใกล้ค่ำ อากาศฤดูหนาวเยือกเย็น ตาเครือหันไปทางปากซอย ขมวดคิ้วจนผมมองตามเห็นคนเดินผ่านไปมาตามปกติเช่นทุกวัน

"มากันเยอะแยะเชียววันนี้..." แกออกชื่อตามเคย บางคนผมไม่รู้จัก แต่บางคนก็พอจะรู้ว่าตายไปแล้ว จนได้ยินเสียงตาเครือดังขึ้นอีกว่า "อ้อ! เจ้าหลาดก็มาด้วย..."

"หลาดไหนล่ะตา?" ผมหันไปมองหน้าแก "ลุงหลาดช่างไม้หรือเปล่า?"

"เออ! ก็เจ้าหลาดน่ะแหละ ไอ้หนูเอ๊ย" แกถอนใจยาว...คราวนี้ผมแน่ใจว่าตาเครือเมาแล้ว เพราะลุงหลาดยังไม่ตาย แถมผมยังมองไม่เห็นลุงหลาดเลย

จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นถึงได้ข่าวว่าลุงฉลาด หรือ "หลาด-ช่างไม้" โดนรถชนตายที่บางแคเมื่อเย็นวานนี้เอง!

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตาเครือมีตาทิพย์จริงๆ แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นวิญญาณด้วยตัวเอง แต่เรื่องนี้ทำให้ผมขนหัวลุกอยู่นาน นึกแล้วยังน่ากลัวไม่หาย...คุณผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยครับ...ผีมีจริงหรือ ไม่จริง?!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด






เรื่องเล่าสยองขวัญ ที่สวนเปลี่ยว








ดิฉันเป็นลูกชาวสวนบางกรวย นนทบุรีนี่เองค่ะ แม้ความเจริญจะรุกรานเข้ามาเรื่อยๆ แต่ต้นไม้ก็ยังร่มครึ้มอยู่ ทั้งให้ร่มเงาและช่วยกรองมลพิษต่างๆ ทั้งทำให้เย็นตาเย็นใจเพราะสีเขียวที่แวดล้อมอยู่รอบตัว มองแล้วจิตใจสงบเยือกเย็นดีด้วยค่ะ

เขาว่าต้นไม้ใหญ่ๆ มักจะมีผีสิงใช่ไหมคะ?

โบราณท่านช่างฉลาดคิด มีจินตนาการเหลือเชื่อ โดยบอกว่าสิ่งลี้ลับที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้นั้นไม่ใช่ภูตผีปีศาจใดๆ แต่เป็นเทพารักษ์หรือเทวดารักษาต้นไม้

ต้นโพธิ์ต้นไทรมีกิตติศัพท์โด่งดังกว่าต้นไม้ทั่วๆ ไป...นั่นคือผีดุมาก!!

ไม่ว่าใครก็เชื่อทั้งนั้น ดิฉันเห็นต้นไม้พวกนี้มีผ้าหลากสีผูกที่โคนและก้านเตี้ยๆ แถมยังมีเครื่องแก้บนต่างๆ เช่น ตุ๊กตาดินเผา และตุ๊กตาไม้กองเกลื่อนอยู่รอบๆ โคนต้น หรือไม่ก็เป็นด้านที่มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นประจำ...

ไหนจะธูปควันกรุ่นที่ปักอยู่ใกล้กับก้านธูปเก่าๆ สีซีดจาง กระจายอยู่ที่โคนต้น ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับ น่าอัศจรรย์ มีพลังอย่างประหลาด...บางครั้งมองเห็นถึงกับขนลุกซ่าไป ทั้งตัว

หมู่บ้านเรามีต้นไทรขึ้นอยู่ข้างทาง แต่ไม่เหมือนกับต้นอื่นๆ เพราะส่วนมากจะร่มครึ้ม ดกหนา บ้างก็แผ่กระจายกิ่งใบแทบจะคลุมดิน มีรากยาวห้อยระย้าลงมา แต่ต้นไทรที่ว่ากลับพุ่งสูงขึ้นไปเหมือนต้นสนสองใบ หรือสนใบแบนไม่ผิด

นอกจากนั้น ยังมีกิ่งใบโปร่งๆ จนมองเห็นได้ทั่วต้น กิ่งที่อยู่ต่ำสุดก็สูงขึ้นไปราว 4-5 เมตร มีรากห้อยระย้าลงทั้งยาวและสั้น กิ่งก็โปร่ง รากก็โปร่ง ดูจะไม่มีอะไรลี้ลับที่ชวนให้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนิด

ผู้ใหญ่บอกว่า ถ้ารากที่ห้อยยาวลงมาถึงพื้นดินเมื่อไหร่ ก็จะงอกขึ้นมากลายเป็นต้นใหม่เมื่อนั้น พวกเด็กๆ ก็คอยไปนั่งดูยืนดูกัน ว่าเมื่อไหร่รากที่ยาวกว่าเพื่อน ห่างจากดินราวเมตรเดียวจะห้อยลงมาถึงดินสักที?

รอแล้วรอเล่าก็ไม่เคยเห็นผลหรอกค่ะ เราพูดกันสนุกๆ ว่า...ไทรผีสิงมั้ง?

วันหน�
�่ง ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปเล่นที่โคนต้นไทร แล้วแหงนมองรากแปลกๆ เอียงซ้ายเอียงขวาตามประสาเด็ก จู่ๆ รากทุกรากก็แกว่งไกวไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดเลย เล่นเอาเราเอะใจ ก็พอดียอดไทรไหวซ่า...เสียงเหมือนใครหัวเราะครืน!

ลมไม่พัดแต่ไทรสะบัดกิ่งใบได้ยังไง...ต้องวิ่งหนีกันกระจาย น่ะซีคะ

ความจริงย่านนั้นยังมีต้นโพธิ์ต้นไทรใหญ่น้อยอีกหลายต้น มีคนไปบนบานขอหวยกันมานานแล้วค่ะ ทั้งผ้าแพรและตุ๊กตาแก้บนเต็มไปหมด ยกเว้นไทรประหลาดต้นนี้เท่านั้นที่ไม่มีผ้าแพรสวยๆ พันต้น ไม่มีตุ๊กตาเสียกบาล...ไม่มีแม้แต่ธูปสักดอกเดียว!

สาเหตุก็เพราะไม่มีใครสนใจน่ะซีคะ เห็นเป็นต้นไม้ธรรมดา เหมือนมะม่วงชมพู่ทั่วๆ ไป

วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญ ร่ำลือกันไปทั้งตำบล!

"พี่หนิม" เป็นสาวสวยระดับดารา ชื่อจริงๆ ไม่ทราบค่ะ เพื่อนบอกว่าคงหมายถึงหงิมๆ อะไรนี่แหละ พี่หนิมเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน ผิวขาวเหลืองจนพวกเราอยากขาวสวยเหมือนพี่หนิมบ้าง

พ่อแม่เธอดุมาก มาจากสาเหตุหวงลูกสาวเพราะมีหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน ทั้งจากบางพลัด บางอ้อ บางขุนนนท์ บางใหญ่ ไปถึงฝั่งพระนคร มีเสียงดุด่าจากบ้านพี่หนิมเป็นประจำ...บางครั้งเธอก็หายหน้าไป 2-3 วัน ได้ข่าว่าพ่อกักตัวไว้ในบ้านค่ะ

วันเกิดเหตุ ลุงเกตคนข้างบ้านดิฉันเข้าสวนแต่เช้า ร้องเอะอะโวยวายจนใครๆ พากันวิ่งออกไปดู ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็ตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน...ร่างพี่หนิมห้อยโตงเตงอยู่บนกิ่งไทรประหลาดต้นนั้นเอง!

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่หนิมน้อยใจที่พ่อแม่ดุด่าแทบไม่เว้นแต่ละวัน เลยคิดสั้น เอาผ้าขาวม้าพ่อมาแขวนคอกลางดึก...ว่าแต่กิ่งไทรนั่นสูงเลยหัวไปเกือบ 2 วา...ไม่มีทางที่พี่หนิม หรือใครจะปีนป่ายขึ้นไปได้ง่ายๆ

ผีหรือคะที่มาชักชวน ฉุดพี่หนิมขึ้นไปอยู่ด้วย?

เป็นปัญหาน่าสยองที่ยังไม่มีคำตอบมาถึงทุกวันนี้ แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

วิญญาณ ของ น้าชาย







วันอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ผมนั่งซักผ้าอยู่คนเดียวในหอพักใกล้มหาวิทยาลัยแถวรังสิต เพราะเพื่อนนักศึกษาที่เช่าห้องอยู่ด้วยกันกลับบ้านที่คลองเตย ส่วนผมอยู่บางขุนนนท์... ขณะนั้นเองผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวดที่น้าผมชอบใช้ประจำ

น้านนท์แก่กว่าผมไม่กี่ปี เรียนจบจากแอลเอมาหมาดๆ หอบเครื่องสำอางผู้ชายมาเป็นกะตั๊ก...เป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน!

พอได้กลิ่นนี้ปุ๊บ ผมก็นึกว่าน้านนท์มาหาแน่แล้ว เพราะประตูไม่ได้ล็อกเพื่อนฝูงชอบเดินเข้าเดินออกกันบ่อยๆ ผมเรียกน้านนท์และเดินออกมามองๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา เปิดประตูไปดูตรงทางเดินหน้าห้องก็ไม่มี

เอ๊ะ! มันยังไงกันแน่หว่า?

แต่แปลกนะครับ กลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวดดูเหมือนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเฉพาะหน้าประตู ห้องน้ำเท่านั้น ชนิดก้าวออกมาแค่ก้าวเดียวก็ไม่ได้กลิ่นแล้ว ไม่เหมือนกลิ่นปกติที่มันจะลอยฟุ้งไปทั้งห้อง โชยไปโชยมาตามกระแสอากาศ แต่นี่หน้าต่างก็เปิด ลมก็โกรก แต่กลิ่นยังเป็นกลุ่มเป็นก้อน นิ่งอยู่ตำแหน่งเดียว

ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่รู้สึกว่ามันแปลกดี สนุกด้วย...ก้าวเข้าไปก็ได้กลิ่น ถอยออกมาก็หมดกลิ่น!

เรื่องแปลกยังไม่จบครับ ผมซักผ้าเสร็จก็ตากที่ระเบียง นึกในใจว่าเดี๋ยวจะโทร.เข้ามือถือน้านนท์ ตอนนี้อยู่ไหนหนอ? น้าคงคิดถึงเรามากจึงส่งกระแสจิตมาหา...

แต่ขณะที่ผมเดินไปเดินมาระหว่างห้องน้ำกับระเบียง ผมเกิดความรู้สึกว่ากลุ่มก้อนของน้ำหอมเคลื่อนจากที่เดิม จากหน้าห้องน้ำมาตรงประตูทางออกระเบียงเหมือนมีน้านนท์ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ

ที่หน้าห้องน้ำไม่มีกลิ่นครับ! สาบานเลย กลิ่นนั้นค่อยๆ เคลื่อนไม่ใช่หายจากห้องน้ำมาอยู่หน้าระเบียงหรอก แต่มาช้าๆ ทีละก้าว ทีละสเต็ป ย้ายจากที่เดิมมา�
��รื่อยๆ

ตอนนั้นผมเริ่มนึกอะไรออกแล้ว...มือที่จะตากผ้าชะงัก ใจหายวูบและเริ่มสังหรณ์! วางผ้าลงกะละมังแล้วรีบโทร.เข้ามือถือน้านนท์แต่ไม่มีใครรับสาย ผม มองนาฬิกา...ห้าโมงเช้าพอดี!

รีบโทร.กลับบ้านไปหาแม่ แม่บอกว่าน้านนท์ไปพัทยา พาสาวไปเที่ยว ผมฟังแล้วไม่สบายใจ หันซ้ายหันขวา แล้วก็ เหมือนมีอะไรมาบอกให้เปิดวิทยุฟัง จส.100

ได้เรื่องเลยครับ!

เสียงรายงานข่าวอุบัติเหตุ รถยี่ห้อและทะเบียนของน้านนท์เสยกับสิบล้อ...ผู้ชายคนหนึ่ง ก็คงน้านนท์แน่ละ และผู้หญิงสามคนบาดเจ็บ หน่วยกู้ชีพนำตัวส่งโรงพยาบาลและกำลังติดต่อญาติ...ผมรีบโทร.บอกแม่ แม่ตกใจมากและรีบติดต่อ จส.100 และโรงพยาบาลที่รับตัวคนเจ็บไว้ทั้งหมด

ผมรีบกลับบ้าน แล้วครอบครัวเราก็รีบบึ่งรถไปโรงพยาบาล

...น้านนท์คอหัก หมดสติ โคม่าจนมาสิ้นลมที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนสามสาวเจ็บกันคนละเล็กน้อย...พวกเธอร้องไห้เสียดายความหล่อและความดีงาม ของน้านนท์ของผมมาก

ผมน้ำตาไหล มองดูศพน้านนท์ซึ่งบาดแผลแทบไม่มีเลย นอกจากรอยช้ำที่หน้าผาก และรอยบวมนิดๆ แถวคอเท่านั้น เขาดูเหมือนคนนอนหลับมากกว่า สงบและยิ้มนิดๆ ด้วยซ้ำ...เหมือนจะบอกลา! แม่เศร้ามาก พอได้สติในหลายชั่วโมงต่อมา แม่ถามผมว่ามีสังหรณ์อะไรหรือ?

เมื่อแม่ได้ฟังแล้วก็ดูผ่อนคลายลง แม่สบายใจขึ้นแม้จะยังเศร้า แม่พูดว่า ถ้างั้นวิญญาณก็มีจริงน่ะซี! และถ้าวิญญาณมีจริง สักวันเรากับน้านนท์ก็จะได้พบกันอีกในโลกหน้า...หรือโลกหลังความตาย!

ฟังแบบนี้ก็โล่งใจ หายเศร้าไปเยอะ

ผมปลอบแม่ให้คิดเสียว่า ตอนนี้น้านนท์กลับไปทำงานที่เมืองนอก เราจากกันแค่ชั่วคราวแล้วจะเจอกันอีก ความตายไม่น่ากลัวหรอกครับถ้าเราทำความดีอยู่เสมอ...แต่กับคนที่ทำผิดคิด ชั่ว ความตายก็น่าสยองนะครับ!!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

วิญญาณงูผี







สมัยหนุ่มผมอยู่บางนาใกล้ๆ วัดทุ่ง มีถนนขรุขระไปออกก้นซอยอุดมสุขได้ ใกล้กับซอยนั้นมีร้านอาหารป่าเป็นโรงเรือนชั้นเดียวโล่งๆ ด้านซ้ายตั้งโต๊ะเตี้ยๆ กลางแจ้งมีเสื่อปูให้ลูกค้านั่งล้อมวงดื่มกินกันอย่างสบายใจ

ร้านนี้มีทั้งงูเห่า เต่า ตะพาบ ไปถึงเก้ง กวาง แย้ผัดเผ็ดใส่เปราะหอมก็ขายดี บางวันมีเมนูพิสดารเป็นเนื้อเสือ เนื้อหมีด้วย หลายๆ คนก็อยากลองกินดู

ผมมีเพื่อนสนิทชื่อเจ้าหมั่น อาชีพขับรถกระบะรับจ้าง วันไหนกลับเร็วก็จะมาชวนผมไปกินเหล้า ผลัดกันเลี้ยง...ตอนนั้นมีแค่ 200-300 บาทก็ได้เมากันเต็มที่แล้วครับ

เจ้าหมั่นชอบชวนไปร้านอาหารป่าที่ว่าบ่อยกว่าที่อื่น มันบอกว่าถูกปากดี!

เราชอบนั่งกลางแจ้งมากกว่านั่งโต๊ะในร่ม สั่งเหล้าโซดาน้ำแข็ง...ที่ขาดไม่ได้คืองูเห่าผัดเผ็ด วันไหนเงินหนาก็จะสั่งเลือดและดีงูมากิน เจ้าหมั่นบอกว่าแก้หนาว นัยน์ตาดีเหมือนตางู...ข้อสำคัญคือเป็นยาโป๊วที่พวกผู้ชายชอบกินกัน

ตอนจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินผ่านกรงใส่งูเป็นๆ ทั้งน่ากลัวและน่าสงสารบอกไม่ถูก มีลูกค้าบางคนมาชี้ว่าจะเอาตัวนั้นตัวนี้ บางคนก็ดูเขาปาดคองูเอาแก้วรองเลือดแดงข้น... กินทั้งเลือดงูดีงูอย่างหน้าตาเฉย!

ผมไม่เคยกินทั้งสองอย่าง...มองเขาถลกหนังงูเห็นเนื้อขาวๆแต่มันยังไม่ตาย เพราะบิดไปมา จนผมต้องเดินหนี... นึกถึงตางูที่จ้องมองราวร่ำร้องว่ามนุษย์นี่ช่างใจร้ายสิ้นดี

วันหนึ่ง เจ้าหมั่นสั่งงูผัดเผ็ดตามเคย ผมสั่งยำกบกับแกงหอยขม มีแม่ค้ามาขายเมี่ยงคำเลยสั่งมารองท้อง รายการนี้ต้องจ่ายเงินก่อน...เจ้าหมั่นหายไปข้างในพักใหญ่ก็เดินสูบบุหรี่ ยิ้มกริ่มกลับมา...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันไปจัดการกับเลือดและดีงูมา เรียบร้อยแล้ว

เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ...เจ้าหมั่นคุยฟุ้งถึงสรรพคุณดีงู แต่ผมนึกถึงพวกงูเห่าในกรงที่รอความตาย บางตัวแถกไถจนปากเปื้อนเลือดแล้วตันคอหอยจนไม่นึกอยากกิน

สามทุ่มกว่าลูกค้าก็บางตาลง รถราทยอยกันออกไป หนุ่มสาวบางคู่เดินคลอเคลียกันไปขึ้นรถยนต์ เลี้ยวข�
��าเข้าซอยอุดมสุข...อาจจะมีบังกะโลสุขใจเป็นจุดหมายก็ได้?

เราลุกอืดอาดไปที่รถเจ้าหมั่นที่จอดแอบอยู่ริมทางด้านใน ตอนนั้นยังเป็นทุ่งหญ้าและป่าละเมาะค่อนข้างรก...ไม่ช้าก็ขับรถย้อนกลับทาง เดิมเพื่อกลับบ้าน

ผมเขม่นตาขวายิบๆ ใจนึกถึงแต่พวกงูที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในกรง...แสงไฟพวยพุ่งอยู่บนทางขรุขระ สองข้างทางเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย...จู่ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นกะทัน หัน ต่อหน้าต่อตาเราทั้งสองคน!

งูดำเมื่อมตัวหนึ่งกำลังเลื้อยปราดๆ จากพงหญ้าด้านซ้าย ตัดหน้ารถในระยะใกล้ ลำตัวขนาดใหญ่ราวต้นแขน ยาววาเศษ...หรือไม่ก็ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเลย

"เฮ้ย! อะไรวะ..." เราตะโกนแทบพร้อมๆ กัน เจ้าหมั่นด่าตามเป็นชุดขณะที่ตะบึงรถแล่นทับงูตัวนั้นไป คิดว่าคงจะราวๆ กลางลำตัว ส่วนผมขนหัวลุก รู้สึกหนาวเยือกจากต้นคอลงไปตามแผ่นหลังเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง

เสียงรถเบรกเอี๊ยด เจ้าหมั่นเปิดประตูออกไปพร้อมกับคำราม

"ดีละ! กูจะเอามึงไปผัดเผ็ดกินพรุ่งนี้ซะเลย"

ผมนั่งตัวแข็งอยู่กับที่ แว่วเสียงเพื่อนบ่นอะไรพึมพำ ก่อนจะเดินมาบอกว่าไม่เห็นอะไรเลย! ขนาดรถทับมันกลางตัวเห็นๆ จนน่าจะขาดกลางแล้ว แต่ไม่รู้ว่างูตัวนั้นมันหายไปไหน? เจ้าหมั่นคว้าไฟฉายจากเก๊ะไปส่องดูให้แน่ใจ ไม่ช้าก็ผิดหวังกลับมาขึ้นรถ

"ไอ้ห่...งูผีหรือไงวะ? ตัวยาวเป็นวา โดนทับกลางตัวเสือกหายไปเฉยเลย"

คืนนั้นผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ฝันเห็นแต่งูในกรง ปากเปรอะเลือดส่งเสียงกรีดแหลม...ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจนผมสะดุ้งตกใจ ตื่น ใจสั่น เหงื่อกาฬแตกซิก

วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าเจ้าหมั่นเป็นไข้หนัก นอนซมอยู่กับบ้าน...ผมไปเยี่ยมก็เห็นมันหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงพูดแหบแห้งเต็มที

"มันจะกินเลือดกู...มันจะกินดีกู! ไอ้งูผีเปรตนั่น...โอย..."

ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว พูดจาปลอบโยนไปตามเรื่อง เมียมันเอายากับน้ำมาให้เจ้าหมั่นก็เอะอะว่าเป็นเลือดงูแดงสด... มันกินไม่ลง! เลือดงูผีตัวใหญ่ ยาวตั้งเกือบสองวา



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

เรื่องผี วิญญาณ ตึกร้าง








เมื่อราว 3 ปีก่อนผมมาเช่าห้องอยู่กับเจ้าใหม่ที่ย่านบางกอกน้อย เราเป็นเพื่อนที่ทำงานบริษัทเดียวกันครับ จนกระทั่งสนิทกันมากๆ ตามประสาชายโสด นิสัยใจคอชอบสนุกสนานรื่นเริง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนกัน เลยมาเช่าห้องอยู่ด้วยกันซะเลย

ตอนแรกก็คิดว่าใกล้ที่ทำงานแถวท่าพระ แถมยังมีเพื่อนช่วยแชร์ค่าห้องเช่า ไม่ต้องว้าเหว่เหมือนอยู่คนเดียวอีกต่อไป

คือมองโลกในแง่ดีน่ะซีครับ นึกไม่ถึงว่าผมกับเจ้าใหม่จะเป็นเพื่อนแนวคู่เวรคู่กรรม ชอบเที่ยวเตร่เฮฮาเหมือนกัน เที่ยวคนเดียวน่ะไม่ค่อยสนุกหรอกครับ เดี๋ยวก็กลับรัง แต่พอมีเพื่อนถูกคอเข้า แหม...ตกค่ำเมื่อไหร่เป็นต้องแวะผับนั้นบาร์นี้อยู่เป็นประจำ

ไหนจะเงินทองฝืดเคืองตอนปลายเดือน ไหนจะโดนผีหลอกเอาเต็มรักอีกต่างหาก

โดนหลอกที่ไหนไม่โดน มาโดนผีหลอกตึกร้างกลางซอยก่อนถึงห้องเช่าของราว 20 เมตรเท่านั้นเอง!

ตึกร้างที่ว่าน่ะไม่ใช่ไร้คนอยู่ ใส่กุญแจทิ้งไว้เฉยๆ นะครับ แต่เป็นตึกร้างแบบพังยับเยินเหมือนโดนไฟไหม้หรือระเบิดลงยังงั้นแหละเอ้า ไม่มีประตูหน้าต่าง ผนังกั้นห้องแตกร้าวเหลือแค่ครึ่งๆ กลางๆ หลังคาก็แหว่งโหว่ไม่มีทางกันแดดกันฝนได้เด็ดขาด ผมเดินผ่านทีไรมักจะอดหันเข้าไปมองไม่ได้ เห็นขยะเกลื่อนกลาด บางวันเห็นหนูตัวโตๆ วิ่งปรู๊ดปร๊าด บางวันก็มีแมวดำมากระโดดโหยงๆ บางตัวก็ขึ้นไปนั่งเลียขนอยู่บนผนังกั้นห้องที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง

หน้าฝนยิ่งแล้วใหญ่ น้ำเจิ่งนองเกือบครึ่งน่อง เห็นขยะลอยเป็นแพ...ดูๆ แล้วเหมือนคนตายที่มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว แล้วศพถูกทิ้งประจานเอาไว้ไม่มีผิด

ไม่รู้ว่าเป็นตึกร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่แน่ๆ คือกลายเป็นแหล่งมั่วสุมพวกขี้ยาไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน บางครั้งก็มีหนุ่มสาวใจถึงจูงมือกันเข้าหลบมุมพลอดรัก...ไม่รู้ว่าใน บรรยากาศแบบนั้นยังอุตส่าห์มีอารมณ์เข้าไปได้ยังไง?

ได้ข่าวว่าเคยมีผู้หญิงถูกมารสังคมฉุดเข้าไปข่มขืนด้วย แต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับโดนฆ่าทิ้ง แต่บางรายก็วิ่งเตลิดหนีออกมาได้

คืนหนึ่งราวสี่ทุ่ม ผมกับเจ้าใหม่ว่าจะดับไฟเข้านอนก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอ็ดตะโรดังลั่น เรารีบเปิดหน้าต่างจากชั้นบนลงไปดู ก็เห็นหลังไ�
��ๆ ของชายคนหนึ่งวิ่งผ่านห้องเช่าไปทางก้นซอย...ห้องข้างๆ ก็โผล่ออกมาดูเช่นกัน เขาบอกว่านั่นไอ้เป๋-ขี้ยาประจำซอย ลักเล็กขโมยน้อยได้ก็รีบไปซื้อยาเสพติดทันที

"สงสัยจะโดนผีหลอก...เจอกันหลายรายแล้วแต่ไม่รู้จักเข็ดซะที"

พี่อรรถ-เช่าห้องอยู่ก่อนเราบอกเล่าให้ได้รับความรู้...ครั้นกลับเข้าห้อง เจ้าใหม่ก็หัวเราะเยาะ บอกว่าจนถึงสมัยมีมือถือ แถมถ่ายรูปได้ ถ่ายคลิปได้ ยังจะหลงเชื่อเรื่องผีอยู่อีกเหรอเนี่ย? ผมเตือนมันว่าอย่าทำพูดดีไป เดี๋ยวเจอกับตัวเองแล้วจะรู้สึก! เจ้าใหม่กลับบอกว่ารู้สึกโล่งใจน่ะซีที่รู้ว่าโลกนี้ยังมีผีๆ สางๆ อยู่จริง

วันรุ่นขึ้นก็ได้รู้จากพี่อรรถว่า...ไอ้เป๋กำลังพี้ยาอยู่ดีๆ ก็มองเห็นร่างหนึ่งห้อยหัวลงมาจากเพดาน หน้าเน่าเฟะแทบจะชนหน้ามัน เท่านั้นเองไอ้เป๋ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องจ้า วิ่งปุเลงๆ ร้องโวยวายออกมาอย่างที่เราเห็น...เจ้าใหม่กลับบอกว่าไอ้เป๋เมายาจนตาฝาด เพี้ยนไปเองน่ะซี!

อาทิตย์ต่อมา เพื่อนปากเสียของผมก็เจอของจริงเข้าเต็มเปา

คืนนั้น เรานั่งโจ้เหล้ากันในห้องเพราะปลายเดือนเต็มที พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้า กะว่าหมดแบนนี้จะเข้านอน ...ราวสามทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เสียงร้องโหยหวนบาดใจก็ดังขึ้นจากตึกร้างหลังนั้นเอง...เราลุกพรวดไปดูก็ เห็นภาพนั้นเต็มตา

จันทร์เต็มดวงกับแสงไฟข้างถนน เห็นชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งหน้าตั้งออกมา ดูเหมือนเสื้อผ้าจะยังไม่เรียบร้อย ฝ่ายหญิงร้องไห้พลางวิ่งพลาง...โอ๊ย! ผีหลอก! ช่วยด้วย...

ไม่ว่าใครก็เดาได้ว่าหนุ่มสาวไปพลอดรักกันแล้วโดนผี หลอกกระเจิงออกมา แต่เจ้าใหม่ยังอุตส่าห์บอกว่า...สงสัยเห็นแมวดำละมั้ง เลยนึกว่าผี...

เสียงมันขาดหายไป ผมเอะใจก็ละสายตาจากคนที่วิ่งไปทางก้นซอย มองตามสายตาของเพื่อนไป...ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดดเด่น ชัดเจนอยู่ในแสงไฟ คือร่างดำทะมึนของชายที่นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว เปลือยอกกว้างกำยำ ร่างสูงตระหง่านกำลังเงยหน้าช้าๆ ขึ้นมามอง

นรกเป็นพยาน! นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟร้อนโชนจ้องหน้าเจ้าใหม่เขม็ง ส่วนเพื่อนผมก็ร้องแต่อะๆ อ้าๆ ไม่เป็นภาษาก่อนจะเข่าอ่อน ทรุดฮวบลงสลบเหมือดคาที่... พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเกือบตลอดคืนเลยครับ!



ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ความสำคัญ ของวันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร







วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญ..
วันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร!??

วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา

ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม

เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่น สาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น

จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ

โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและ สามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘


ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า

ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ


ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็�
��กลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ


๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่


๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน


ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่


๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ

๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น




ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ

ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า 





ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ผี เรื่องผี คำสาปแห่งความรัก




หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง
ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น

แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น

ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่าง รวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ

จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง

และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)

ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมอง ดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควัน ธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ

ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา

แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว

ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตา�
�กแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ

และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์ มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม

แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลย มองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้อง กรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง

เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ใน
ใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะ

เอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า" จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือด เต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว

เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมี ความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียง

เวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่าง มีความสุด

แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา

เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม





ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

วิญญาณ แห่งหมึ่ง ในห้องเรียน ม.2




เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง ที่รร.แห่งหนึ่งในห้องเรียนม.2ค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า วันนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนลงจากห้องเป็นคนสุดท้ายประมาณ6โมงได้ยกเก้าอี้ขึ้น ทุกตัวผ่านมารุ่งขึ้น ครูได้ใช้ให้ข้าพเจ้ายกของขึ้นไปบนห้องเรียนนั้น ข้าพเจ้าแปลกใจมากเพาะเห็นเก้าอี้แถวหลังวางอยู่ที่พื้นและมีหนังสือวางอยู่

บนโต๊ะเหมือนมีใครมานั่งเรียนข้าพเจ้าจึงรีบวิ่งลงไป เพราะวันนั้นต้องไปทัศนศึกษาต่อมา ตอนเย็นเรื่องได้รู้ถึงเพื่อนๆ จึงอยากลองดีกัน โดยมีเพื่อนขึ้นไป10คน และทุกคนต้องถอดสร้อยพระให้หมด พอขึ้นไป เพื่อนอีก 8คนอึ้งมากค่ะ

เพราะเค้าบอกว่าเห็นเงาคนนั่งอยู่ จึงรีบวิ่งลงไป แต่อีก2คนไม่เชื่อจึงได้ เข้าไปในห้องท้าตะโกนให้สิ่งนั้นออกมา ก้อไม่มีอะไรจนต่อมาเพื่อนอีกคนได้ยินเสียงคนเรียกจึงวิ่งออกไป ขณะนั้นก้อเหลืออยู่ในห้องคนเดียว เพื่อนคน�
��ั้นใส่สายสร้อย(ไม่ใช่สร้อยพระ) เพื่อนบอกว่าเหมือนมีใครมาดึงสายสร้อยอยู่ด้านหลัง

และมีเสียงหัวเราะ เพื่อนหายใจไม่ออกจึงสลบไป เพื่อนทั้งแปดคนสงสัยว่าทำไมเพื่อน2คนยังไม่ลงมา จึงขึ้นไปหา เจอแต่เพื่อนคนเดียวนอนสลบอยู่ในห้อง แต่ไม่เห็นเพื่อนอีกคนเลยตอนนั้นเย็นมากแร้ว จาบอกครูก้อไม่ได้ จึงวิ่งไปหาภาโรงซึ่งภาโรงคนนี้อยู่ที่โรงเรียนนี้มาหลายสิบปีแร้ว ภาโรงเล่าให้ฟังว่า

เมื่อหลายปีที่แร้วมีเด็กนร.คนหนึ่งเรียนอยู่ห้องนี้เค้าประสบอุบัติเหตุตาย เค้าเป็นเด็กที่เรียนดีมาก วินยานจึงวนเวียนอยู่ในห้องเรียน ต่อมาพ่อแม่ของเด็ก2คนนั้นได้รุเรื่อง จึงอุทิดส่วนกุศลไปให้

จึงทำให้เด็กที่สลบไปนั้นฝืนขึ้น แต่เด็กอีกคนได้หายตัวไป ต่อมา2 สับดา ได้พบเด็กคนนั้นเป็นศพไปแล้ว จึงทำให้ห้องเรียนนั้นถูกปิดให้เป็นห้อง เก็บพัศดุสิ่งของ แร้วไม่รู้ว่าจามีใครเข้าไปอีก 



ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

ผี เรื่องผี ใครในบ้านปิดตาย




หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง
ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น

เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่าง รวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ

จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า

ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้ว นั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน

และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควัน ธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่

จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า"

ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่"

ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด

ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์ มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"

ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็ เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมาก คิดอยู่ในใจ

"มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า" จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือด เต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก

แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมี ความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้

และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่าง มีความสุด

แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา

เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม 


ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

เจอของดีที่กรมป่าไม้




สวัสดีคับผมโอมอาร์มอยากรู้อะไรไปดูที่โปรไฟล์นะคับ
ผมเป็นคนกลัวผีนะแต่ก็ชอบอ่านนิยายเรื่องผี เอ๊ะ! ยังไง และขอย้ำนะคับว่าเรื่องนี้

เป็นเรื่องจิงแท้แน่นอนไม่มีโม้คือผมเป็นคนพะเยานะคับและอาของผมทำงานอยู่กรมป่าไม้ซึ่งไม่ค่อยไกลเท่าไหร่ไม่กี่ร้อยเมตรเท่านั้น

วันนั้นเป็นวันเกิดอาของผมอาผมจัดวันเกิดที่ป่าไม้คนที่ไปก็เป็นพวกญาติๆกันนี่แหละคับ

และผมก็ไปด้วยและไปกับน้องผมอีกประมาณ 3-4 คน ตอนนั้นประมาณจะเที่ยงคืนแล้ว

เพื่อนของอาผมทำงานที่กรมป่าไม้เหมือนกัน (เป็นญาติกันด้วยแหละ) ง่วงนอนจึงไปนอนกับแฟนของเค้าและพอประมาณเที่ยงคืนเศษๆผมกับน้องชายคน โต(ซึ่งผมสนิทที่สุด)

ง่วงนอนจึงขอผุ้ใหญ่ไปนอนและเค้าให้พากันไปนอนห้องเดียวกับที่เพื่อนอาผมนอน อยู่แล้วผมกับน้องก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงผมยาวเสื้อขาวแต่ไม่เห็นหน้าเพราะ มืดแล้วพอรุ่งเช้าเพื่อนอาผมบอกว่าตัวเองนั้นนอนอยู่ที่ใกล้ประตูและแฟนเค้า นอนข้างขวาแต่ที่ผมเห็นมันคืออะไรล่ะ ?




ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

หุ่นเจ้าสาว ประสบการณ์ขนหัวลุก จากรังสิต




"นุ่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

ดิฉันน่าจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันผิดปกติมาก แต่น่าแปลกที่ตอนแรกดิฉันไม่ได้สะกิดใจแม้แต่น้อย

วันนั้นเป็นวันแรกที่ดิฉันเข้าไปอยู่ในหอพัก คือว่าดิฉันได้งานทำแถวรังสิต แน่ละ...เมื่อบ้านอยู่ไกลก็จำเป็นต้องหาหอพักอยู่ มีคนแนะนำหอแห่งนี้ให้ ดิฉันก็เลยไปติดต่อด้วยตัวเอง ทางเจ้าหน้าที่ของหอบอกว่ามีห้องเหลืออยู่ห้องเดียว คือห้องหมายเลข 814 อยู่ที่ชั้นแปด มีตู้มีเตียงครบเรียบร้อยทุกอย่าง ถือกระเป๋าใบเดียวก็เดินเข้าไปอยู่ได้เลย

รุ่งขึ้น ดิฉันให้พี่ขับรถมาส่งเพราะต้องขนหมอน ผ้าห่มและกระเป๋าเสื้อผ้า รวมทั้งของใช้ในห้องน้ำมาด้วย

ตอนนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ ยังไม่แปดโมงเลยค่ะ พี่ชายต้องรีบไปทำงาน ของแค่นี้ดิฉันขนขึ้นห้องคนเดียวได้ เรื่องกุญแจน่ะรึคะ เรียบร้อยตั้งแต่เซ็นสัญญาเช่าห้องเมื่อวานนี้แล้ว อากาศยามเช้าสดชื่นจริงๆ แสงแดดอ่อนๆ ดิฉันไม่เคยเจอผู้คนเลย มันเงียบสงบดีจัง...

อ้อ! เจอแต่ยามหน้าประตูกระจกชั้นล่างของอาคารคนเดียว เขายิ้มให้ขณะดิฉันใช้กุญแจการ์ดรูดเปิดประตู จากนั้นก็เดินตรงไปที่ลิฟต์ แหม...ลิฟต์เล็กนิดเดียว ขึ้นได้ครั้งละไม่เกินสี่คนเท่านั้น ดิฉันไม่ชอบที่แคบๆ ซะด้วย แต่ไม่เป็นไร ลิฟต์พุ่งขึ้นไปเร็วใช้ได้เลยละ...ปรู๊ดเดียวก็ถึงชั ้นแปด...

ประตูลิฟต์เปิดแล้วดิฉันก็ต้องสะดุ้ง...ตรงข้ามประตู ลิฟต์จัดเป็นเก้าอี้นั่งพัก มีกระจกผนัง มีต้นไม้ประดับอยู่ในกระถาง และสิ่งที่ทำให้ดิฉันสะดุ้งคือ ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งยืนแข็งทื่อ...เธอสวมชุดไทยคล้ ายเจ้าสาว ทำผมสวยงาม ยืนตรง หน้ามองตรง

เมื่อเพ่งดูจริงๆ จังๆ เออหนอ...หุ่นขี้ผึ้งนี่นา!!

ดิฉันถอนใจแล้วนึกขัน หอแห่งนี้มีลูกเล่นแปลกๆ เขามีกระทั่งทำหุ่นขี้ผึ้งมายืนต้อนรับหน้าลิฟต์ ลงทุนน่าดู...ไม่เคยเห็นมีที่ไหนทำอย่างนี้เลย

พอรู้ว่าเป็นแค่หุ่นก็เดินเข้าไปพิศดู เอ...จะว่าไปก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน เขาปั้นจนดูคล้ายคนมากๆ คุณคงนึกออกนะคะ...ผิวพรรณ ผมและดวงตา ดูยังไงก็เหมือนคนไม่มีผิด...เหมือนจนน่าขนลุกจริงๆ

เอาละ! ดิฉันถือถุงหมอน ผ้าห่มและกระเป๋าเสื้อผ้าเดินตรงไปที่ห้องหมายเลข 814 แล้วใช้กุญแจดอกเล็กๆ ไขเข้าไป...ห้องสวยใช้ได้ พอเหมาะพอเจาะกับการอยู่คนเดียว มีระเบียงด้วยซีคะ วิวก็สวยดี ดิฉันชอบอยู่ห้องของตึกสูงๆ ก็เพราะชอบดูวิวนี่แหละ

หลังจากพักผ่อนและเก็บของเข้าที่เข้าทางแล้วดิฉันก็ไ ปทำงาน...

ตอนกดลิฟต์และรออยู่นั้น ก็ยังหันไปชื่นชมหุ่นขี้ผึ้งสาวสวยนั่นเลยค่ะ นึกเล่นๆ ว่าถ้าหล่อนกระดิกได้หรือยักคิ้วให้ ดิฉันคงไม่รู้จะเผ่นไปทางไหน

เย็นนั้นกลับมา อ้าว? หุ่นขี้ผึ้งแสนสวยหายไปแล้ว!

คิดดูอีกทีเขาคงย้ายไปไว้ที่อื่น หรือไม่ก็เอามาวางไว้หน้าลิฟต์ชั่วคราว แต่แหม...ไม่มีเหตุผลเลย เขาเอามาวางไว้ตรงนี้ทำไม? มันมาจากไหน? ใครเป็นเจ้าของ? ช่างเถอะ! อย่าคิดมากเลย...ปวดหัวเปล่าๆ

สามสี่วันถัดจากนั้น ดิฉันได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของหอที่ชื่ออ้อย ก็เลยเอ่ยถึงหุ่นขี้ผึ้งตัวนั้น...คุณอ้อยทำท่าตกใจว ูบหนึ่ง แล้วรีบกลบเกลื่อนรับเออรับค่ะ แต่ดิฉันสังเกตเห็นท่าทีพิกลๆ นั้น...และตอนนี้แหละค่ะ ที่เริ่มสะกิดใจ

เรื่องราวทั้งหมดมาเปิดเผยจากเจ้าของร้านอาหารหน้าปา กซอยของหอพักนั้น...

คุยไปคุยมา ดิฉันก็เล่าว่ามาวันแรกมีเรื่องตกใจนิดหน่อยที่เปิดล ิฟต์มาเจอหุ่นขี้ผึ้งแต่งชุดเจ้าสาว สวยสะดุดตามากเชียว...เล่นเอาคุณป้าเจ้าของร้านเอามื อกุมอก เบิกตากว้าง

"คุณเห็นจริงๆ เหรอคะ?"

คุณพระช่วย! นั่นน่ะไม่ใช่หุ่นขี้ผึ้งหรอกค่ะ แต่เป็นผีเจ้าสาวจริงๆ มายืนทื่อให้ดิฉันเห็นเต็มหูเต็มตา เป็นการต้อนรับน้องใหม่ก็ว่าได้!

เธอเป็นผู้เช่าห้องหมายเลข 814 เมื่อหลายเดือนก่อน คุณป้าเจ้าของร้านนี้รู้จักดี เพราะเธอเป็นลูกค้าประจำมากินอาหารแทบทุกวัน เธอมีคนรักที่เธอรักเขามาก และเตรียมจะแต่งงานด้วย ขนาดไปซื้อชุดเจ้าสาวมาอวดคุณป้าเชียวละ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อรู้ว่าถูกหลอก เสียเงินทอง เสียทั้งตัว แล้วผู้ชายคนนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆไป

เธออับอายและเสียใจจนกินยานอนหลับตายในห้อง 814

ดิฉันโทร.บอกพี่ให้มารับเดี๋ยวนั้น และบอกทางหอด้วยว่าถูกผีหลอก เขาใจร้ายมากที่ให้เช่าห้องนี้ ผลสุดท้ายเขาคืนเงินประกันให้ดิฉัน จะว่าคุ้มก็ไม่คุ้มหรอกค่ะ ดิฉันขวัญเสียอย่างแรง...ทุกวันนี้ยังอยู่คนเดียวไม่ ได้เลยค่ะ จะบอกให้!


ขนหัวลุก/ใบหนาด



ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

ไสยศาสตร์ กับ คนเล่นของ




สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับไสยศาสตร์ ส่วนมากเกี่ยวกับอยู่ยงคงกระพัน บ้างก็มีพระห้อยคอ บ้างก็มีตะกรุดหรือผ้ายันต์ติดตัว ที่แน่ๆ คือผู้ชายจะสักยันต์ต่างๆ กันทุกคนไป

ชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น มีอาชีพทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ลูกๆ แกเติบโตแยกย้ายกันไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแววเพียงสองคนตายาย เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายครั้ง โดยเฉพาะความเชื่อถือในกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อ

ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมไปกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องรีบล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม

ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะถือว่าคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศของสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่กิน เพราะทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอกผู้หญิง

ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เพราะเชื่อว่าจะทำให้ของเสื่อม

ถ้าเข้าส้วม (หรือเว็จ) ข้างๆ บ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะโผล่ออกมาแล้ว

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศดูทึบทึมน่ากลัว มีพระ บูชากับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอก ปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านด้วย

"ถ้ามีใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง" แกบอกผมพร้อมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก

พ่อผมเล่าว่า เมื่อหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือ หรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า? ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา

คืนหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงคล้ายสัตว์ขู่คำราม ระคนกับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบยืนจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อเข้าไปในห้องก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลง เลือดท่วมตัว ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอยเหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะอย่างน่า สยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกกันว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามมาอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่น ไม่ได้ เมีย ของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็หาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกศัตรูปองร้ายอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วไม้ไผ่ที่มีสายสิญจน์ล้อม รอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นก่อนจะเดินหายลับไปทางป่าช้า

อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า เข้าทำนอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" คนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เอง!

เรื่องจาก ข่าวสด

เรื่องเล่า ขนหัวลุก ในมหาวิทยาลัย




หนูเรียนอยู่ปี 2 มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง รู้สึกรักและผูกพันกับสถานที่และเพื่อนๆ มาก ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่หนูคนเดียว เชื่อว่าคนที่ผูกพันมากกว่าหนูคงมีอีกไม่น้อย เช่น "พี่อ้อ" คนหนึ่งละค่ะ

เธออยู่ปี 3 คณะบริหารธุรกิจ คนละคณะกับหนู แต่เราเจอกันบ่อย ถึงจะคนละคณะแต่ก็มานั่งเป็นเพื่อนคุยกัน นั่งกินขนมด้วยกันได้

พี่อ้อบอบบางราวกับต้นอ้อจริงๆ เรียนเก่งมาก เรียบร้อยนุ่มนวล ยังไม่มีแฟน แต่ดูเศร้าๆ พิกล คนอื่นๆ นินทาว่าพี่อ้อน่าสงสาร คุณพ่อเป็นทหาร ดุมาก เคี่ยวเข็ญอยากให้ลูกได้ดี มีการศึกษาสูงๆ ลูกต้องเรียนเก่ง คะแนนเป็นเลิศ ซึ่งพี่อ้อก็ทำได้มาตั้งแต่ต้น...เธอได้ที่หนึ่งของชั้นมาตลอด หากเป็นที่สองขึ้นมาละก็โดนพ่อตีน่วมเลย

เธอเป็นลูกคนโต รับกรรมเช่นนี้คนเดียว น้องอีกสองคนเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่พ่อไม่เคี่ยวเข็ญ...เรียนเก่งเลิศอย่างเธอน่าจะเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาล แต่คุณพ่อเธอบอกว่ามหาวิทยาลัยนี้ดีเด่นด้านธุรกิจ จึงส่งลูกมาเรียนเอาวิชา

พี่อ้อเป็นที่รักของเพื่อนฝูงและอาจารย์ พ่อค้าแม่ค้าก็รักเธอทุกคน แต่แล้วเมื่อกลางเทอมสุดท้ายปีก่อน เธอป่วยค่ะ...ไม่ใช่ป่วยทางกาย แต่ป่วยทางจิตอย่างรุนแรง!

เริ่มจากที่เธอร้องไห้ตาแดงทุกครั้งเมื่อถึงวิชาเรียนชั่วโมงสุดท้าย ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไรก็ปลอบถามกัน เธอสะอื้นเลย...บอกว่าไม่อยากออกจากมหาวิทยาลัยกลับไปบ้านค่ะ...เธอบอกว่า เวลา 5-6 โมงเย็น ตะวันตกดิน เป็นเวลาที่เธอเศร้ามาก

พวกเราปรึกษาอาจารย์ ทุกคนเป็นห่วง อยากคุยกับทางบ้านเพื่อช่วยแก้ปัญหาแต่สายเกินไปค่ะ...เราทราบว่าเธอพยายาม ฆ่าตัวตาย เธอแขวนคอแต่น้องชายมาเห็นช่วยไว้ได้ ไม่ช้าเธอก็กรีดข้อมือเป็นแผลเหวอะหวะ ตอนนี้เธออยู่โรงพยาบาล

เช้าวันหนึ่ง หนูแทบช็อกเมื่อเห็นประกาศติดบอร์ด... เชิญชวนไปงานศพพี่อ้อ

สาเหตุที่บอกไว้ในบอร์ดคืออุบัติเหตุ แต่เรื่องจริงคือ เธอทุบบานเกล็ดหน้าต่างโรงพยาบาลมาเชือดคอ เชือดข้อมือ ตายอย่างน่าสงสารที่สุด

พี่อ้อตายไม่ถึง 24 ชั่วโมงเธอก็มามหาวิทยาลัยแล้วค่ะ!

มีหลายๆ คนเห็นใครๆ คล้ายเธอไปหมด พวกเราหัวเราะสนุกว่าตาฝาด

แต่ตอนเย็นวันนั้น ภารโรงอายุราว 50 แกร้องโวยวายออกมาจากห้องสมุดหน้าตาท่าทางขวัญเสียมากๆ เล่นเอาเด็กที่อยู่เกือบทุ่มวันนั้นตกใจแตกตื่นกันใหญ่

แกเล่าว่า ขณะกำลังจะปิดห้องสมุด แกเข้าไปสำรวจดู เห็นเด็กนักศึกษาหญิงนั่งอยู่คนเดียว แกเลยว่าให้กลับบ้านเถอะ แกจะล็อกห้อง เด็กคนนั้นหันมา แกมองหน้าไม่ชัด...แต่หัวเด็กผู้หญิงนักศึกษาค่อยๆ โตขึ้นๆ ขยายใหญ่จนแกรู้ว่าถูกผีหลอก

พวกเราที่ไปใช้ห้องสมุดจะเจอกับพี่อ้อบ่อยมาก ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ และคนก็ไปใช้ห้องสมุดกันเนืองแน่น

บางคนจะพบเธอนั่งกับพื้น ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่ตามซอกชั้นต่างๆ

บางทีก็หลบมุมหันหลังนั่งคนเดียว ปะปนกับคนเป็นๆ

วิญญาณพี่อ้อวนเวียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ราวกับเธอยังมีชีวิตอยู่กระนั้น!

ต่อให้รักขนาดไหนเราก็ขยาดนะคะ เวลาเดินๆ อยู่หากเจอใครเดินอยู่ข้างหน้าคล้ายๆ พี่อ้อละก็เราจะผวากันเป็นแถว...กลัวเธอหันมายิ้มให้ละเป็นวิ่งเปิดเปิงแน่

เรื่องที่ร้ายที่สุดเกิดขึ้นวันสุดท้ายที่สอบเสร็จ

วันนั้นพวกเราหลายคนอยู่เย็นเพราะนัดจะไปเที่ยวกันเกือบทุ่มแล้ว นักศึกษาภาคค่ำหยุดเรียน ทำให้บรรยากาศวังเวง ตอนนั้นไม่ยักมีใครนึกถึงพี่อ้อ...ลืมด้วยซ้ำค่ะ

แต่แล้วเจ้าแซม เพื่อนที่ทะลึ่งกว่าเพื่อนเกิดเงยมองบนห้องสมุดซึ่งอยู่ชั้น 5 โน่น มันมองแล้วตาค้าง...ค้างอยู่อย่างนั้น ทำให้พวกเราพลอยมองตามสายตามันไปมั่ง...พวกเราเกือบ 10 คนมองภาพนั้นแล้วตกตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน

พี่อ้อยืนหน้าห้องสมุด แม้จะมืดเราก็จำเธอได้ เธอยิ้มฟันขาว แต่งชุดนักศึกษา ท่าทางเหมือนยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด เธอยิ้มและโบกมือให้พวกเราอย่างร่าเริง สดใส

เจ้าแซมถามเสียงสั่นว่า...เห็นมั้ย?

เราพูดไม่ออก แล้วพี่อ้อก็หายไปในความมืด เชื่อเลยค่ะว่าผีมีจริง พี่อ้อมีความสุข และคงจะสิงสู่อยู่ในมหาวิทยาลัยที่เธอรักไปตราบนานเท่านาน!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

เรื่องสยอง ห้องตรงข้าม




ก่อนหน้านั้น ณ มหาวิทยาลับมีชื่อแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก ปีการศึกษา 2526 ผมอยู่ที่นี่มาสองเดือนแล้ว กำลังปรับสภาพให้เข้ากันได้กับมหาวิทยาลัยที่นี่ มันก็ไม่ง่ายนักกับการที่เคยอยู่บ้านสบาย ๆ ต้องมาอยู่เองตัวคนเดียว และรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตื่นยันนอน

หอพักที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ แบ่งระบบหอชายมีอยู่ 7 หอ ผมได้อยู่หอที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นหอใหญ่ที่สุด แบ่งเป็นปีกซ้ายปีกขวา มีทางเดินเชื่อมตรงกลาง ข้างหน้าหอเป็นลานจอดรถ ส่วนด้านหลังเป็นสนามกีฬาที่เหล่านักศึกษาของแต่ละหอจะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน

ตกเย็นละก็ ครึกครื้นมากแต่พอเข้าไต้เข้าไฟแล้วนี่สิครับ เงียบเหงาวังเวงว้าเหว่สิ้นดี เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยนะ มีกฏระเบียบควบคุมบังคับ จะเฮจะฮาอึกทึกครึกโครมดึก ๆ ดื่น ๆ เหมือนพวกหอพักเอกชนนอกมหาวิทยาลัยนั้นไม่ได้ ใครทนเงียบทนเหงาไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่หอนอก ส่วนตัวผมจำเป็นต้องอยู่หอใน

เพราะว่าค่าหอนั้นถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง ค่ำลงก็เปลี่ยวเหงาเศร้าซึม คิดถึงพี่ป้าน้าอาบ้านช่องไปตามระเบียบแต่ก็ดีที่ยังมี'ไอ้แกว'เพื่อนผมเอง เป็นนักศึกษาอยู่เฟรชชี่ปีหนึ่งเหมือนผม ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่ก็เคยอยู่หอพักที่เจ็ดนี้ด้วยกันมาก่อน ตอนนี้มันย้ายไปอยู่หอนอก และก็เพราะมันนี่แหล่ะ

ที่ทำให้ผมต้องถวายบังคมลาจากหอนี้ไป...ตลอดกาล คืนวันนั้นผมก็นั่งมองไอ้แกวสวาปามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเข้าไปถึงสี่ซอง ผมก็ได้แต่พูดกับมันว่าไม่เข้าใจมันเลยว่ามันอดมากี่มื้อ เพราะมันย้ายไปอยู่หอนอกนั่นแหล่ะ ไอ้อย่างเรา ๆ น่ะ หักค่าหอแล้วก็แทบจะใช้เดือนไม่ชนเดือน แล้วมันจะออกไปทำไม

พร้อมแอบบ่นไม่ได้ว่าดีนะที่ยังมีเสบียงตุนไว้ มันก็บอกผมว่าไม่อยากออกหรอก แต่มีเหตุจำเป็น ผมก็เลยถามมันว่าเหตุจำเป็นบ้าบออะไรของแก ค่าเช่าหอก็ค้างได้จนสอบมิดเทอมมีเวลาถมเถ หรือว่ามันจะขี้เหงา แต่ก็ไม่น่าเป็นเหตุผลของมัน แล้วมันก็บอกว่าถ้าอยากรู้นักก็ จะบอกให้ แล้วยังกวนเบื้องพระบาทโดยการพูดต่อว่า แต่ว่าขออีกสองห่ออีกต่างหาก

พอสวาปามเข้าไปเสร็จ มันก็บอกว่า แกรู้ใช่ไหมว่าฉันอยู่ห้อง 206 ผมก็เลยบอกว่า ห้อง 206 ห้องตรงข้ามทางเดิน ใช่ ทำไม มันก็เลยร่ายยาวเลย ว่าเคยได้ยินคอลเรียกนายไพโรจน์ห้อง 206 ลงไปรับโทรศัพท์มั้ย ผมก็ตอบว่าเคย แล้วก็ถามว่าไ�
�่เห็นพามาแนะนำเลย มันก็เลยบอกว่าจะพามาได้ไง ห็ห้องมันเคยมีคนชื่อไพโรจน์ที่ไหน

พอมีเสียงคอลขึ้นมาข้าก็จะตอบลงไปว่าไม่มีชื่อนี้ ก็ไม่ยอมเชื่อ โทรมาเรื่อย ๆ จนมีอยู่ครั้งนึง มันทนไม่ไหว ดิ่งลงไปรับสายเอง ปรากฏว่าเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ โทรมาหาลูกชายแก ข้าก็บอกแกไปว่าห้องที่แกโทรขึ้นไปน่ะไม่มีคนชื่อนี้ แกก็ไม่เชื่อ

หาว่ากีดกันแกไม่ให้พบกับลูกชายแก มันเลยโกรธ เลยจวกกันไปซะ แกก็บอกว่าไม่ผิดแน่ แถมยังปากจัดมากแต่ยังไม่ใช่แค่นี้ ป้าแกจะโทรมาแค่วันศุกร์ตอนสามทุ่มเท่านั้น วันอื่นเวลาอื่นแกไม่โทร

หลังจากวันนั้น มันก็ไปถามเกี่ยวกับคนชื่อนี้ แต่นักศึกษาปีนี้ไม่มีใครชื่อไพโรจน์เลย จนหนักเข้า มันต้องไปค้นที่สำนักทะเบียนประมวลผล สรุปว่าไอ้คนนั้นเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แล้วก็พ้นสภาพนักศึกษาไปแล้วเพราะนักศึกษาปีหนึ่งที่ชื่อไพโรจน์น่ะ ตายไปแล้ว

เพราะไพโรจน์เป็นปีหนึ่งเมื่อปีที่แล้วแล้วโดนรุ่นพี่แกล้ง สาปให้เป็นลิง มันก็เจี๊ยก ๆ ไป แล้วรุ่งพี่ปีสามก็บอกว่าน้ำแข็งที่สั่งไว้น่ะได้แล้ว รุ่นพี่ปีห้าก็บอกให้ไพโรจน์ไปเอา โดยให้มันไปเจี๊ยก ๆ ตลอดทาง คนก็ฮากันตรึม พอตกเย็นไพโรจน์ก็ผูกคอตายในห้อง 206

ห้องที่มันเคยอยู่นั่นแหล่ะ แล้วมันก็บอกว่าไพโรจน์ยังไม่เท่าไหร่ แต่แม่ไพโรจน์น่ะ ตอนนั้นป้าแกนอนอยู่โรงหยาบาลและเสียชีวิตหลังจากลูกชายตายได้ไม่กี่ชั่วโมง ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ยังไม่ทันรู้เรื่องที่ลูกชายตัวเองผูกคอตายเลยด้วยซ้ำ ผมฟังไปมาก็หัวเราะ ถามมันว่านานไหมกว่าจะคิดได้ขนาดนี้

เล่นเอาซะกลัวเลย แล้วดันไปเห็นพอดี ว่าวันนี้วันศุกร์ และก็สองทุ่มห้าสิบสามแล้ว จะสามทุ่ม เลยลากมันลงไปเลย บอกว่าไง แกบอกว่าวันศุกร์สามทุ่มใช่ไหม ไปเลย แล้วปรากฏว่ามีโทรศัพท์ดังจริง ๆ สามทุ่มเด๊ะ

เข็มวินาทียังไม่เคลื่อนเลย พอรับก็แกล้งบอกว่าผมไพโรจน์ครับ เสียงที่พูดกับผมเป็นเสียงผู้หญิงแก่ ๆ เท่าที่สังเกตมันแก่มากจนผิดปกติ ระหว่างต่อปากต่อคำกันอย่างสนุกสนาน ก็เห็นไอ้เจ้าแกวมันลุกลี้ลุกลน มันกลัวผมจับได้แหง ๆ ว่าเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของมันแกล้งโทรมา แล้วจู่ ๆ มันก็สะกิดผมยิก ๆ

แล้วก็ชูสายโทรศัพท์ที่ขาดให้ดูด้วยมือสั่นระริก ๆ ผมงี้ตาแถบถลน โยนโทรศัพท์โครมลงบนแป้น แล้วก็แหกปากก้องหอพักเลยครับ...




ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

เจอดีที่ป่าช้าร้าง




บ้านดิฉันอยู่ในซอยเสนาฯ ถึงวังหินแล้วเลี้ยวขวาไปถึงก่อนแยกเสือใหญ่ พ่อแม่อยู่ที่นั่นมา 20 กว่าปีแล้ว เมื่อเด็กๆ เคยพาดิฉันกับพี่ชายไปเที่ยวแดนเนรมิตบ่อยๆ เพราะอยู่ใกล้บ้านมาก เด็กๆ มักชอบถ้ำผีสิงกันค่ะ ไม่เคยนึกเลยว่าจะมาเจอของจริงตอนโต

เมื่อเดือนก่อน พวกเพื่อนๆ ร่วมงานในมหาวิทยาลัยเอกชน ชวนไปเที่ยวพัทยาเพราะมีวันหยุดยาว พอดีกับพ่อแม่ก็ชวนไปเที่ยวภาคเหนือกับเพื่อนๆ แต่ดิฉันปฏิเสธหมด อยากพักผ่อนร่างกายและจิตใจอยู่กับบ้านมากกว่า

คืนแรกนั่นเอง ขณะนอนดูทีวีบนโซฟาสบายๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ดิฉันอยู่บ้านนี้มาแต่เกิดก็จริง แต่ยังไม่เคยนอนคนเดียวในบ้านสักคืน!

คืนนี้เป็นคืนแรกในชีวิต!!

จู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับวูบลง มืดสนิท ดิฉันร้องอุทานอย่างลืมตัว นึกถึงฝนฟ้าที่ดังคะนองมาแต่ตอนเย็น แต่ไม่ทันเฉลียวใจ พยายามนึกถึงเทียนไขกับไม้ขีดที่คุณแม่เตรียมไว้ว่ามันอยู่ที่ลิ้นชักตู้ เก็บของ หรือจะอยู่ข้างเครื่องเล่นดีวีดี ใต้โต๊ะวางทีวี?

ทันใดนั้น แสงไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นตามเดิม! ถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนั้นไม่กลัวอะไรเลยค่ะ ก็อยู่มานานเต็มที บ้านเรือนติดๆ กันทั้งนั้น ประตูรั้วก็แข็งแรง ประตูบ้านแน่นหนา หน้าต่างมีเหล็กดัดทุกบาน หัวขโมยอย่าหวังจะไขด้านนอกเข้าบ้านเราได้สะดวกๆ ถ้าเกิดไฟไหม้แต่คนสติดีๆ ก็สามารถเปิดออกไปได้

เสียงหน้าต่างกระแทกปังๆ เล่นเอาสะดุ้งเฮือก ครั้นหันมองก็เห็นเปิดกว้างเป็นปกติ แต่มีเสียงเดิมดังขึ้นอีก ...คราวนี้แน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นดังมาจากชั้นบนที่ไม่มีใครอยู่!

เอ๊ะ! ชักยังไง? เงยหน้าขึ้นมอง...แสงสว่างก็ยังมี แต่คราวนี้ทีวีดังลั่นจนเผ่นพรวดขึ้นนั่ง มองหารีโมตก็วางอยู่ใกล้ๆ เราอาจโดนปุ่มวอลุ่มโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้

กำลังจะเอนลงนอนให้สบายๆ ดูหนังจากเคเบิล... อ้าว? เสียงทีวีกลับเบาวูบลงเฉยๆ แทบไม่ได้ยิน...แต่นั่นกลับทำให้เสียงอย่างอื่นดังชัดเจนยิ่งขึ้นจนใจหาย วาบ...นั่นคือเสียงประตูปิดเปิด ไม่ถึงกับรุนแรงนัก แต่ก็ดังมาเข้าหูชัดเจน

เสียงคนเดิน...เอาละซี!!

นอกจากเสียงลมครวญครางอยู่ภายนอกแล้ว สรรพ
สิ่งเงียบกริบจนน่าใจหาย รถราก็แทบจะไม่ดังแว่วมาเลย แต่เสียงคนเดินจนกระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังอยู่ข้างบนแน่ๆ จนต้องแหงนหน้ามองตามไป...ทางโน้นทีทางนี้ที

นั่นที่ห้องพ่อแม่ นั่นห้องเราเอง! ตอนนี้ออกมาหน้าห้องแล้ว กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ตรงมาทางบันได ราวกับจะลงมาหาเรา...

หัวใจเต้นโครมๆ ราวกับมีกลองรัว อ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงจ้องมองที่บันได...แต่ก็ไม่มีเสียงบันไดลั่น นอกจากเสียงถอนใจยืดยาว...หรือว่าจะเป็นลมพัดเข้ามา แต่เราอุปาทาน หวาดกลัวไปเองเพราะเป็นคืนแรกที่นอนอยู่บ้านเพียงคนเดียว

แล้วบ้านนี้มีอะไรล่ะ? ตั้งแต่ปลูกมายังไม่มีใครตายซักคนนี่นา! หรือว่า...

ดิฉันขนลุกเกรียวทั้งตัวเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ชาวบ้านลือกันว่า บริเวณนี้เคยเป็นป่าช้าเก่า...ป่าช้าแขกที่ผีดุมาก มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกหลายๆ อย่างเช่น คนโดนผีหลอกจนจับไข้หัวโกร๋นมาแล้ว บางคนล้มเจ็บปางตายก็มี

ต่อมา บ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ร้านค้าและรถเข็นแผงลอยผุดสะพรั่ง เรื่องผีจึงค่อยซาไป แต่น่าสังเกตว่าร้านขายอาหารขนาดใหญ่จะขาดทุนย่อยยับ เชื่อกันว่าปลูกทับกลางป่าช้าพอดี อย่างที่เราถือกันว่าห้ามปลูกเรือนคร่อมตอนั่นแหละค่ะ

ราวสิบปีก่อนมีร้านสุกี้ใหญ่โตมาตั้งที่นั่น ไม่นานก็ต้องปิดเพราะขาดลูกค้า เจ้าของเดิมให้เช่าทำร้านเนื้อย่างเกาหลี รายนี้อยู่ได้ปีเศษก็ยอมแพ้ ต้องเลิกกิจการไปจนได้

ทำไมที่บ้านดิฉันไม่เคยพบเหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ มาก่อนเลยก็สุดรู้ค่ะ

ตอนที่นั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่คนเดียว ดิฉันแทบร้องไห้ นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือพ่อแม่จะได้ไม่ต้องมานั่งขวัญหนีดีฝ่อคนเดียวแบบนี้

ในที่สุด ตัดสินใจสวดมนต์ไหว้พระ ไม่กล้าขึ้นไปนอนชั้นบน โดยอาศัยหลบภัยอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีนี่แหละ มีอะไรจวนตัวจะได้เผ่นออกจากบ้านทันทีเลย

รุ่งเช้าแข็งใจขึ้นไปสำรวจชั้นบนก็พบว่าทุกอย่างปกติ ไม่มีร่องรอยว่าจะมีโจรผู้ร้ายขึ้นบ้าน...แต่ดิฉันเก็บเสื้อผ้าใส่กุญแจบ้าน และรั้ว รีบบึ่งไปอาศัยบ้านเพื่อนนอนก่อนพ่อแม่จะกลับบ้าน...ไม่อยากหัวใจวายตายค่ะ 
ที่มาจาก    http://www.shockfmclub.com

ประสบการณ์ขนหัวลุก ห้องน้ำผีสิง





ห้องน้ำผีสิง

"ดาวนิล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่าเมื่อสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันเป็นรีเซฟชั่นที่โรงแรมระดับ 3 ดาวอยู่แถวประตูน้ำ มีแขกทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว ถ้าเข้ากะเย็นก็ไปเลิกตีสอง ค่อนข้างเหนื่อยและปวดหัวกับแขกขี้เมา ส่วนมากจะอยู่ในคอฟฟี่ช็อป

แม้ว่าจะมีกัปตันคอยดูแลก็จริง แต่หลายครั้งก็เดือดร้อนมาถึงดิฉันเข้าจนได้

ตอนหัวค่ำยังไม่เท่าไหร่ แต่พอเลย 4-5 ทุ่มแล้วซิคะ แขกหลั่งไหลเข้ามาแน่น โดยเฉพาะคืนศุกร์เสาร์ พอรู้ว่าเมามาจากที่อื่นก็มี เพิ่งออฟสาวจากผับย่านนั้นมาก็มี ขนาดมาจากโรงนวดแล้วก็ไม่น้อย แต่หลายๆ โต๊ะก็มาสนุกเฮฮากันเป็นขาประจำ

ส่วนมากเมาแล้วมักชอบเจ๊าะแจ๊ะกับเด็กเสิร์ฟ ประเภทปากเปราะก็พูดสองแง่สองง่าม บางทีก็ล่วงเกินมาถึงดิฉัน เราทำงานแบบนี้นะคะ จะหงุดหงิดหรือรำคาญใจแค่ไหนก็ต้องยิ้มไว้ก่อน

"น้องตูน" เป็นเด็กเสิร์ฟใหม่ อายุ 20 ต้นๆ ขาวสวย หุ่นดี พวกแขกไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ก็คอยแทะโลมเป็นประจำ หรือไม่ก็แซวแบบคะนองปาก ถ้าลามปามจนทำท่าว่าจะล้ำเส้น ดิฉันก็จะเข้าไปปกป้องน้องตูนไว้ก่อน ทำให้เธอซาบซึ้งมากๆ ขอบคุณน้ำตาคลอเชียว

วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์กลับตาลปัตร..น้องตูนเป็นฝ่ายช่วยเหลือดิฉัน ราวกับจะเป็นโอกาสให้เธอได้ตอบแทนน้ำใจ โดยที่เราต่างก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลย

ดิฉันเวียนหัวมาตั้งแต่หัวค่ำ อาจเป็นเพราะความดันเลือดต่ำทำพิษก็ได้ ต้องเข้าไปนอนพักในห้องพนักงานด้านหลังเคาน์เตอร์ โชคดีอย่างที่คืนวันพุธแขกน้อยกว่าวันอื่นๆ เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ฝืนใจออกมาช่วยดูแลแขกตอนใกล้สองยาม แต่ไม่ช้าก็เกิดวิงเวียนอีก อยากจะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านที่ดินแดงก็สองจิตสองใจ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรกลางทางละแย่เลย!

พอตีหนึ่งกว่า น้องตูนก็ไปบอกรองผู้จัดการว่าขอพาดิฉันไปหาหมอก่อน..แต่เมื่อขึ้นรถออกมา เธอก็พาดิฉันไปห้องพักแถวหน้าอินทรานั่นแหละค่ะ บอกว่าให้นอนค้างห้องเธอจนกว่าจะทุเลา ดิฉันถามว่าทำไมต้องโกหกด้วย คำตอบของน้องตูนก็คือ

"ถ้าไม่บอกว่าพี่ดาวอาการหนักจนต้องพาไปหาหมอ มีหวังแกไม่ให้เราลางานแน่ๆ เลยค่ะ"

น้องตูนเช่าห้องอยู่คนเดียว ดูสะอาดสะอ้านพอใช้ เธอเอาชุดลำลองมาให้เปลี่ยน ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ด้วย คนเราจะเห็นใจกันก็ยามป่วยไข้นี่
แหละค่ะ!

ดับไฟแล้วก็เข้านอนด้วยกัน..ขณะที่กำลังเคลิ้มๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงสะอื้นมาเข้าหู ตอนแรกคิดว่าเสียงลมที่ดังผ่านหน้าต่างมุ้งลวดเข้ามา แต่เมื่อนิ่งฟังก็แน่ใจว่ามันดังอยู่ในห้องนั่นเอง..เดี๋ยวที่ห้องน้ำ เดี๋ยวหน้าประตูและมุมห้อง ไม่รู้ว่าของจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?

อากาศในฤดูฝนเย็นยะเยือก หันมองน้องตูนก็เห็นหลับสนิท ระบายลมหายใจสม่ำเสมอ ดิฉันเลยพลิกตัวนอนตะแคง สองมือซุกอกในท่าสบาย..เสียงประหลาดก็ดังขึ้นอีกแล้วค่ะ คราวนี้เป็นเสียงอาบน้ำ! เสียงซู่ซ่าดังชัดเจน ไม่ใช่หูแว่วเด็ดขาด!!

ดิฉันตัดสินใจลุกมานั่งจ้องไปที่ประตูห้องน้ำ มันปิดสนิทก็จริง แต่เสียงตักน้ำราดเนื้อตัวยังดังไม่หยุด

เอาละซี! ไม่ใช่ฝัน แต่เป็นของจริงแน่ๆ จะว่ากลัวก็กลัว จะว่ากล้าก็กล้าค่ะ..อาจจะเป็นเพราะมีน้องตูนนอนอยู่บนเตียงทั้งคน ตั้งแต่เข้าห้องมาก็ไม่ได้เปิดประตูออกไปรับใครซักคนนี่นา..แล้วใครมาอาบน้ำ ล่ะ? ตัดสินใจกดสวิตช์ไฟ เปิดประตูห้องน้ำผาง..

ท่ามกลางแสงสว่างเยือกเย็นนั้น มีแต่ความว่างเปล่า พื้นห้องก็แห้งสนิท..เล่นเอาม่านตาพร่าพรายอย่างช่วยไม่ได้ ปากคอแห้งผากไปหมดเลยค่ะ ตอนที่ถอยกลับมาที่เตียงโดยไม่ยอมปิดไฟ

คุณพระช่วย! เพียงแต่ล้มตัวลงนอน ชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงอกเท่านั้น เสียงสะอื้นก็ดังขึ้นอีกแล้ว!

ห้องนั้นดูสว่างขึ้นกว่าเดิม กลั้นใจมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นอะไรเลย..น้องตูนก็ยังหลับสนิทจนน่าอิจฉา อยากจะปลุกขึ้นมาถามเหลือเกินว่าห้องนี้มีอะไรแน่? แต่ก็เกรงใจน้องที่กำลังนอนหลับอย่างผาสุก

เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำคราญหายไป..เสียงอาบน้ำซู่ซ่าดังขึ้นแทนที่! ดิฉันอ้าปากค้าง..ทั้งๆ ที่ประตูเปิดแง้ม ไฟยังสว่างโพลงตามเดิม โอย..ทนไม่ไหวแล้วค่ะ!

"ตูนๆ" ต้องเขย่าแขนสาวน้อยให้ตื่นจนได้ เธอถามเสียงงัวเงียว่าอะไรคะพี่? ดิฉันยังไม่ทันตอบ เสียงราดน้ำน่าสยองขวัญก็หายไป แต่พอตูนหลับต่อเสียงซู่ซ่าก็ดังขึ้นมาอีก

ดิฉันปลุกตูนขึ้นมาอีกครั้ง เธอคงนึกอะไรขึ้นมาได้ ถามว่าห้องน้ำทำพิษใช่ไหมคะ? แหม! ตูนก็ลืมบอกให้พี่จุดธูปบอกเขาก่อนนอน..แล้วเธอก็จัดการให้ดิฉันจุดธูปบอก กล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เสียงต่างๆ ก็เงียบไป..ดิฉันสาบานว่าจะไม่ไปนอนค้างที่นั่นจนชั่วชีวิตเลยค่ะ!

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด
 ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

ประสบการณ์ขนหัวลุก ผีตาฮก




ผีตาฮก เรื่องเล่าจาก จ.สุราษฎร์ธานี

"อร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรือผีสิงสมัยเด็กดิฉันอยู่ อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี มีแม่น้ำตาปีเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพวกเรา เหมือนกับแม่น้ำสำคัญสายต่างๆ ทั่วประเทศนั่นแหละค่ะ

นอกจากนั้น ยังมีคลองเล็กคลองน้อยต่างๆ เป็นที่ตั้งบ้านเรือนของผู้คนอีกหลายแห่ง บ้านดิฉันอยู่ริมคลองนายบาง ชาวบ้านมีทั้งทำไร่ทำสวนและหากุ้งหาปลา พวกเราอยู่กันได้สบายๆ เพราะผู้คนยังไม่มากมายเหมือนทุกวันนี้

พวกผู้ใหญ่เล่ากันว่าในคลองลึกๆ ผีดุนักหนา มีคนเคยโดนหลอกมาสารพัดรูปแบบ โดยเฉพาะพวกหากุ้งหาปลา แต่ไม่ว่าจะกลัวผีมากน้อยแค่ไหน ถึงเวลาก็ต้องออกไปทำมาหากินเป็นนิจศีล

นอกจากผีดุแล้วยังมีจระเข้ชุกชุมด้วยค่ะ!

ตอนแรกๆ ดิฉันก็คิดว่าผู้ใหญ่เล่าเรื่องนี้เพื่อให้เด็กกลัว จะได้ไม่ไปเล่นน้ำกันบ่อยๆ แต่แล้วก็เกิดเรื่องสยองขวัญเหลือเชื่อขึ้นมา จนทำให้พวกเรายอมรับว่าจระเข้ที่ว่าดุนั้น มันดุร้ายขนาดไหน นึกถึงแล้วยังขนลุกอยู่ไม่หาย

"ตาฮก" คนในหมู่บ้านมีอาชีพหาปลาด้วยวิธีทอดแห แกมักออกเรือไปกับลูกชายวัยรุ่นชื่อพี่นุ้ย ไม่ถึงกับออกแม่น้ำหรอกค่ะ เฉพาะในคลองนายบางก็มีกุ้งปลาชุกชุมอยู่แล้ว

วันนั้น ตาฮกกับลูกชายก็ออกเรือไปหาปลาตามเคย

ดูเหมือนว่าจะโชคดีที่เหวี่ยงแหลงไปเป็นได้ปลามาครั้งละไม่น้อย จนกระทั่งถึงครั้งสุดท้าย ตาฮกบอกลูกว่าอีกโครมเดียวก็กลับบ้านได้เลย

ว่าแล้วก็ยืนขึ้นหว่านแหลงน้ำ...แหของตาฮกไม่ใช่แบบแหงมนะคะ เขาเรียกว่าแหลาก เสร็จสรรพก็ค่อยๆ ลากแหขึ้นมาช้าๆ มองเห็นปลาหลายตัวดิ้นกระแด่วๆ จนเกือบจะพ้นจากน้ำอยู่แล้ว เหตุการณ์สยดสยองก็อุบัติขึ้นมาทันใด!

นั่นคือ จระเข้ขนาดมหึมาตัวหนึ่งโผล่พรวดขึ้นจากน้ำเหมือนภาพในคืนฝันร้าย พี่นุ้ยผงะหน้า ร้องเสียงลั่น เมื่อเห็นจระเข้ตัวใหญ่ยาวเป็นวา พุ่งลิ่วขึ้นมาอ้าปากงับพ่อขาดกลางลำตัวพอดี ก่อนจะหล่นลงน้ำเสียงโครมสนั่น

ร่างที่เหลือแต่ท่อนล่างของตาฮกยังดิ้นรน ท่าม กลางเลือดสาดกระจายเต็มเรืออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแน่นิ่งไป!

พี่นุ้ยพายเรือกลับบ้านพร้อมด้วยศพครึ่งท่อนของพ่อได้ยังไง ตัวเองก็บอกว่ายังงงๆ อยู่เหมือนกัน...แต่เสร็จจากงานศพพ่อก็ประกาศว่าสาปส่งการหากุ้งหาปลา ไม่ว่าคลองนี้หรือคลองไหนไปชั่วชีวิต ก่อนจะเก็บข้าวของไปอยู่กับญาติในจังหวัด ไม่มีใครได้ทราบข่าวคราวจากแกอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

แล้วผีตาฮกล่ะคะ จะดุร้ายหรือสาบสูญไปเหมือนกับลูกชายของแก?

ตรงกันข้ามค่ะ ผีตาฮกที่ประสบกับชะตากรรมน่าสยดสยองพองขน กลับเฮี้ยนสุดขีดจนเป็นที่เล่าลือกันมานับสิบปี!

พวกหากุ้งหาปลาต้องคอยเหลียวหน้าเหลียวหลัง ไหนจะกลัวทั้งจระเข้ ไหนจะกลัวผีตาฮก บางคนอ่อนอกอ่อนใจถึงกับหยุดออกเรือไปหลายวันก็มีค่ะ

ตอนแรกๆ พวกพ่อแม่ที่มีลูกซุกซน ก็มีทั้งห่วงใยลูกเต้า กับโล่งอกโล่งใจที่พวกเด็กๆ ไม่กล้าลงไปเล่นน้ำกันอยู่หลายวัน จะอาบน้ำก็ต้องลงกันเป็นโขยง รีบอาบรีบขึ้นเพราะกลัวไอ้เข้กับกลัวผียิ่งกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำไป

หลังจากเผาศพไปได้ราว 6-7 วัน วิญญาณตาฮกก็เริ่มแผลงฤทธิ์ขึ้นมา!

นั่นคือ เรือหาปลาที่ลูกชายทิ้งไว้ให้ญาติๆ ก็จอดอยู่เฉยๆ เพราะยังไม่มีใครใจถึง กล้านั่งกล้าพายไปไหน ตอนกลางวันก็ดูสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร แต่พอตกกลางคืนได้ไม่นานก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุก

บ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ บ้านตาฮกพอดี...

จู่ๆ เสียงคล้ายกระดานลั่นเกรียวกราวก็ดังแว่วมาจากริมน้ำ ทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดแรงอะไรเลย พวกเราได้ยินกันหลายบ้าน รุ่งขึ้นต่างก็ถามไถ่กันว่าเสียงอะไร ก็ไม่มีใครตอบได้เลย...จนกระทั่งคืนต่อมา

เสียงกระดานลั่นดังขึ้นในความเงียบเชียบของราตรีอีกแล้ว!

พ่อแม่ดิฉันเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่ง เสียงนั้นค่อยๆ จางหายไป...พ่อบอกว่านั่นคือเสียงกระดานเรือที่มีคนลงไปเหยียบย่ำ เล่นเอาดิฉันต้องกอดแม่แน่น ส่วนแม่ก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ครางเบาๆ ว่า...ผีตาฮก...

ชาวบ้านร้านช่องที่ได้ยินเสียงสยองทุกคืน แทบจะนอนไม่หลับไปตามๆ กัน

คิดดูซีคะว่าเรือที่กลายเป็นเรือนตายอย่างน่าสยอง จะเกิดเสียงโครมครามได้ยังไง...นอกจากวิญญาณตาฮกจะเฮี้ยนจัดอยู่หลายคืน จนต้องเอาไปถวายวัดเลยค่ะ!

ขนหัวลุก
ใบหนาด


ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ประสบการณ์ขนหัวลุก จากคนเล่นของ




จองเวร เรื่องราวชีวิตคนเล่นของอย่างลุงดั่น

"คนบ้านนา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคนเล่นของ

สมัยเด็กผมอยู่ อ.บ้านนา จ.นครนายก ได้พบเห็นเรื่องแปลกๆ ทางไสยศาสตร์ นอกจากพระเครื่องกับตะกรุดและผ้ายันต์แล้ว ยังมีการเคี้ยวว่านให้หนังเหนียวและการสักยันต์

ในหมู่บ้านมีชายชราอายุห้าสิบเศษชื่อลุงดั่น ทำสวนผักอยู่ใกล้ๆ กัน ลูกเต้าแกล้วนเติบโตแยกย้ายไปหมดแล้ว อยู่กับเมียชื่อป้าแวว เป็นคนเล่าเรื่องของขลังต่างๆ ให้ผมฟังหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเชื่อถือกฎเกณฑ์เก่าๆ อย่างเคร่งครัดแทบไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำไป!

ลุงดั่นบอกว่าคนเล่นของจะไม่ยอมกินอาหารในงานศพ ถ้าไปงานศพกลับมาต้องล้างหน้าด้วยน้ำมนต์ หรือน้ำแช่ใบทับทิม

ไม่กินผลไม้ เช่น มะเฟืองและละมุดเด็ดขาด เพราะ ถือว่าคล้ายกับอวัยวะเพศสตรี แม้แต่น้ำเต้าก็ไม่ ยอมกิน เนื่องจากทั้งชื่อและลักษณะเหมือนทรวงอก ผู้หญิง

ไม่ลอดราวตากผ้า ไม่ลอดใต้บันได เชื่อว่าจะทำให้ "ของเสื่อม"

ถ้าเข้าส้วม (หรือเวจ) ข้างบ้าน แล้วมีใครมาตะโกนเรียกก็จะไม่ยอมขานรับเลย จนกว่าจะเสร็จธุระ โผล่ออกมาแล้ว

ทำน้ำมนต์เอาไว้กินเอง! เสกทั้งน้ำล้างหน้าและแป้งผัดหน้า จะไปไหนก็ดูเมฆ สังเกตลมหายใจว่าคล่องจมูกด้านซ้ายหรือด้านขวา จะได้ก้าวขาข้างนั้นออกไปก่อน

ลุงดั่นมีห้องพระเล็กๆ อยู่ข้างห้องนอน แกเคยพาผมเข้าไปดูครั้งหนึ่งก็เห็นบรรยากาศทึบทึมน่ากลัว มีทั้งพระพุทธรูปกับเทวรูป ตุ๊กตาเด็กสูงราวหนึ่งศอกปิดทองแทบทั้งตัว...แกบอกว่าเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้า บ้านด้วย

"ถ้าใครคิดร้ายบุกเข้ามา กุมารทองของข้าก็จะจัดการมันเอง!"

แกบอกผมเสียงหัวเราะ แต่แววตาดูเหี้ยมเกรียมน่าขนลุก พ่อผมเล่าว่า เมื่อยังหนุ่มๆ ลุงดั่นเป็นนักเลงใหญ่ ก่อศัตรูไว้มากมาย แม้ว่าต่อมาแกจะวางมือหรือ "ถอดเขี้ยวถอดเล็บ" แล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกศัตรูเก่าๆ ยังจะตามอาฆาตจองเวรอยู่หรือเปล่า?

ด้วยเหตุนี้เอง ลุงดั่นจึงต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา!

วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อชาวบ้านได้ยินเสียงสัตว์ขู่คำราม กับเสียงเด็กแผดร้องโหยหวน ตามด้วยเสียงแช่งด่าของลุงดั่น...จนกระทั่งเสียงน่ากลัวต่างๆ เงียบหายไป พวกเราจึงจุดไฟออกไปดู

ภาพที่เห็นทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ลุงดั่นนุ่งกางเกงขาก๊วยตัวเดียว หน้าอกกับแผ่นหลังพราวด้วยลายสักยันต์ มือถือดาบจังก้าอยู่ที่หัวบันได สายลมพัดยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มหนึ่งกำลังหัวเราะครืนอย่างเย้ยหยัน...ขบขันเต็ม ประดา

"มาฆ่ากูซีวะ ไอ้เดนนรก! เมียกูไปทำอะไรให้มึง ไอ้หน้าตัวเมีย...รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้"

เพื่อนบ้านช่วยกันปลอบโยน ลุงดั่นโยนดาบทิ้ง นั่งลงซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นฮัก...เมื่อคนอื่นๆ เข้าไปในห้องนอนก็ผงะหน้าไปตามๆ กัน

ป้าแววนอนหงายลืมตาโพลงเลือดแดงฉานท่วมตัว ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งจนหลายคนเบือนหน้าหนี...ที่ใบหน้าและทรวงอกมีริ้วรอย เหมือนถูกกรงเล็บสัตว์ฉีกเหวอะหวะน่าสยดสยอง...ใกล้ๆ กันนั้นมีร่างของตุ๊กตาที่เรียกว่ากุมารทอง คอขาด แขนขาหักรุ่งริ่งแทบกลายเป็นเศษดินด้วยซ้ำไป!

ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า ศัตรูเก่าของลุงดั่นตามอาฆาตจองเวรอย่างไม่ลดละ...แม้ว่าจะทำร้ายลุงดั่นไม่ได้ เมียของแกก็ต้องรับเคราะห์แทน

เมื่อเผาศพป้าแววแล้ว ลุงดั่นก็เอาสายสิญจน์มาล้อมบ้านไว้ ตอนกลางคืนก็ถือดาบลงไปเดินวนเวียนรอบบ้าน ด้วยความหวาดระแวงว่าศัตรูยังไม่เลิกราที่จะล้างผลาญชีวิตแกให้จงได้

สิ่งที่ทำให้เพื่อนบ้านขนหัวลุกก็คือ ตอนดึกๆ เมื่อลุงดั่นขึ้นไปนอนแล้ว มักมีเสียงหมาหอนโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจ...หลายๆ คนโผล่หน้าต่างดูก็เห็นป้าแววเดินเลาะอยู่ริมรั้วที่มีสายสิญจน์ล้อมรอบ พลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นน่าสะเทือนใจ...ก่อนจะลับหายไปทางป่าช้า

อีกราวเดือนเศษ ลุงดั่นก็นอนหลับไปตลอดกาล...

น่าประหลาดที่ตามร่างกายไม่ปรากฏว่ามีบาด แผลใดๆ เลย คนลือกันว่าป้าแววหาโอกาสเข้าไปในบ้านจนได้ แล้วเอาชีวิตลุงดั่นไปอยู่ด้วย! บางคนก็เชื่อว่าเป็นฝีมือของศัตรูเก่า ผู้ติดตามอาฆาตจองเวรอย่างไม่ยอมเลิกรา

เรื่องราวชีวิตคนเล่นของอย่างลุงดั่นจึงปิดตำนานลงเพียงนี้เองครับ!

ขนหัวลุก
ใบหนาด



ที่มาจาก    http://www.shockfmclub.com

Miss Call สยองขวัญ






เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!

โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย

ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?

วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ

...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง

ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที

"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ

"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง

อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!

"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"

ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ! "โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."

"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"

โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป

ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย

...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้

โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!

แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้

เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!

คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...

คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้

ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...

ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ

อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!

ที่มา เรื่องจากทางบ้าน





ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ห้องดับจิต




นั้น "หมอหนุ่ม" ต้องเข้าเวรตอนกลางคืน ซึ่งเป็นหน้าที่ของหมออินเทอร์น(หมอฝึกหัด) ทุกคน มิหน้ำซ้ำยังต้องอยู่ตึกเก่าอีกต่างหาก(แย่เลย) ตึกเก่าของโรงพยาบาลเป็นตึกสูงเพียง 5 ชั้นเท่านั้น

เวลาประมาณเที่ยงคืน หมอหนุ่มพร้อมพยาบาลที่อยู่เวรด้วยกันจะต้องขึ้นไปเดินดูความเรียบร้อยของ ผู้ป่วยบนชั้น 4 และชั้น 5 ซึ่งเป็นส่วนที่พักของผู้ป่วยในเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องกลับลงไปนั่งประจำที่ห้องตรวจชั้น 1

หลังจากตรวจผู้ป่วยห้องสุดท้ายแล้ว พยาบาลต้องอยู่ช่วยทำความสะอาดผู้ป่วยที่อาเจียนรายหนึ่ง หมอหนุ่มจึงเดินไปลงลิฟท์จากชั้น 5 เพียงลำพัง

หน้าลิฟท์...เวลาเที่ยงคืนครึ่ง
หมอหนุ่มเดินมาถึงหน้าลิฟท์ เจอ "ป๋อง" บุรุษพยาบาลคนหนึ่งกำลังรอลิฟท์อยู่ ป๋องหันมาทักหมอหนุ่มว่า "อยู่เวรคืนนี้เหรอครับ หมอ" หมอหนุ่มตอบว่า "ใช่ ป๋องด้วยเหรอ" ป๋องยังไม่ทันได้ตอบ พอดีลิฟท์เปิด หมอหนุ่มกับป๋องเลยรีบเดินเข้าไปในลิฟท์ และกดลงชั้น 1

ลิฟท์เลื่อนลงชั้น 4 ....ชั้น 3.... "ตรึ๊ง" ลิฟท์จอดที่ชั้น 3
ประตูลิฟท์เปิด........หน้าลิฟท์มีผู้ชายแก่ผมเป็นสีดอกเลาใส่ชุดผู้ป่วยในของโรงพยาบาลยืนอยู่
ขณะนั้นเอง ป๋องกระโจนไปกดปุ่ม "ปิด" ทันที กดซ้ำ ๆ จนกระทั่งลิฟท์ปิดก่อนลุงคนนั้นจะเข้ามาได้ หมอหนุ่มหันไปถามว่า "เฮ้ย! ป๋องทำไมไม่ให้ลุงเข้ามาละ"
ป๋องหันมามองหน้าหมอแล้วพูดว่า "หมอ..ไม่เห็นที่ข้อมือลุงนั่นหรือครับ"
"เห็นอะไร" หมอหนุ่มชักใจไม่ดี
"ป้ายที่ผูกข้อมือนะหมอ มันเป็นป้ายของห้องดับจิต ขืนให้เข้ามาก้อซวยนะสิ"
"ฮ้า!!!" หมอหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ
เสียง "ตรึ๊ง"ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ลิฟท์จอดชั้น 1 แล้ว

พอประตูลิฟท์เปิด หมอหนุ่มก็รีบเผ่นออกมาทันที แล้วหันไปมองป๋องที่ยังอยู่ในลิฟท์ แล้วถามว่า "อ้าว ป๋องไม่ออกมาเหรอ" ป๋องไม่ตอบ เพียงแต่มองและยิ้มให้หมอหนุ่มพร้อมกับยกมือขึ้นโบกลากับหมอในขณะที่ประตู ลิฟท์ค่อย ๆ ปิด

สิ่งสุดท้ายที่หมอหนุ่มจำได้ในคืนนั้นก็คือ ที่ข้อมือของบุรุษพยาบาลที่ชื่อป๋อง มีป้ายผูกข้อมือเหมือนลุงคนนั้นไม่มีผิดเลยยยยยย

ตอนเช้า....หมอหนุ่มจึงได้รู้ว่า "ป๋อง" เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์คว่ำ และนำศพมาเก็บไว้ที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งหมอหนุ่มไม่ได้เข้าเวรจึงไม่รู้เรื่องนี้

คุณ ๆ ว่า ป๋องมาหลอกหมอหนุ่ม หรือมาช่วยหมอหนุ่มกันแน่



ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

วิญญาณหารัก



ดิฉันเป็นลูกหลานคนจีน โดยแท้จริง เติบโตที่ภาคใต้ ส่วนใหญ่คนบ้านดิฉันรับจ้างทำงานทั่วไป ไม่ว่าจะงานก่อสร้าง ถ่างป่า หรือกรีดยาง แต่เหตุการณ์ที่ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับญาติของดิฉันคนหนึ่งซึ่งเขาไม่ค่อยเชื่อเรื่อง ผี เห็นเป็นเรื่องไร้สาระ ผลสุดท้ายเขาเกือบเอาตัวไม่รอด ญาติของดิฉันคนนี้มีชื่อเล่นว่า นุ อายุก็ราว 16-17 ปี รุ่นเดียวกับดิฉัน กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น สมัยนั้นหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ค่อยเจริญ บ้านของนุก็เหมือนกันไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนตอนนี้ เมื่อนุเรียนจบ ป.6 จากโรงเรียนในหมู่บ้าน นุคิดอยากเรียนต่อจึงไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่รอบค่ำในอำเภอ กลางวันจะได้มีเวลาช่วยพ่อแม่ทำงาน แต่ระยะเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนก็ราว 20 กว่ากิโลเมตร แต่นุยังโชคดีหน่อย ที่เขายังมีรถเครื่องเก่า ๆ อยู่คันหนึ่งไว้ขี่ไปโรงเรียนทุกวัน หลังจากเลิกเรียนแล้วนุก็ชอบไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่อกลับมาถึงบ้านตี 2 เกือบตี 3 ทุกวัน

....มีอยู่วันหนึ่งเป็นช่วงหน้าฝน คืนนั้นฝนตกทั้งคืน นุก็ยังคงไปเรียนศึกษาผู้ใหญ่ในตัวอำเภอเหมือนเดิม หลังจากเลิกเรียนแล้วคืนนั้นนุไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่อจนเวลา 02.00 น. จะกลับบ้าน แต่เพื่อนของนุเห็นฝนยังตกไม่หยุด จึงชวนนุค้างที่บ้าน แต่นุปฏิเสธพร้อมกับบอกว่า "ระยะทางไม่ไกลหรอก เรากลับจนชินแล้ว หลับตาเรายังขี่ได้ เรื่องกลับบ้านแค่นี้เรื่องเล็ก ขอให้วางใจเถอะ" เมื่อน�
��พูดอย่างนี้ เพื่อนของเขาก็ส่วยหัวกับความดื้อรั้นของนุ แล้วเขาคงไม่รู้ว่าเดือนก่อนตรงบริเวณก่อนถึงหลักกิโลเมตรที่ 2 ซึ่งมีศาลาพักร้อนอยู่ข้างทาง มีผู้หญิงสาวสวยรุ่นราวคราวเดียวกับนุอกหักจากแฟนผูกคอตายที่ป้ายนี้ เมื่อเธอตายแล้ว วิญญาณของเธอก็ไม่ยอมไปไหน วนเวียนอยู่ที่นี่ คอยหลอกคนนั้นคนนี้ที่ผ่านมา จนคนแถวนั้นกลัว แต่นะไม่รู้มาก่อน และนึกไม่ถึงว่าผียังมีอยู่ในโลก คิดว่าคนเราตายไปแล้วทุกคน เมื่อถูกเผาก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป

....คืนนั้นนุกลับบ้านดึก เพราะติดฝนตก ตำลังขี่รถจะพ้นตัวอำเภอไปเลย จนถึงบริเวณป้ายหลักกิโลเมตรที่ 2 ก็มีผู้หญิงสาวสวยมายืนโบกรถอยู่ เมื่อนุเห็นจึงหยุดรถแล้วถามผู้หญิงคนนั้นว่า "น้องจะไปไหน มายืนตากฝนอยู่ที่นี่ไม่หนาวหรือ" ผู้หญิงคนนั้นก็ตอบว่า "น้องคิดจะกลับ แต่ไม่มีรถพี่ช่วยไปส่งหน่อยได้ไหม" นุจึงรับอาสาส่งผู้หญิงคนนั้นที่บ้านนุได้ถอดเสื้อเจ็กเก็ตที่เขาใส่ให้กับ ผู้หญิงคนนั้นเมื่อเห็นเธอหนาวจนสั่น แต่คำพูดของผู้หญิงคนนั้นเยือกเย็นชอบกลแต่นุก็ไม่ได้สนใจคิดว่าเธอหนาว ตลอดทางที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งรถเขามาก็ไม่คอยพูด มีแต่นุเท่านั้นที่ชวนคุยตลอดทาง

...จนมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน กม.7 ผู้หญิงสาวคนนั้นก็บอกให้นุหยุดรถ บอกถึงบ้านแล้ว "ส่ง..แค่..นี้..พอ..แล้ว..พี่..ไม่..ต้อง..ส่ง..บ้านหรอก" หญิงสาวคนนั้นชี้ให้นุเห็นหลังคาบ้าน พร้อมบอกว่า "หลัง..กลัว..แม่..ด่า..ส่ง..แค่

 

ที่มาจาก    http://www.shockfmclub.com

วิญญาณในห้องน้ำ





ผมขี่รถมอเตอร์ไซค์หรือที่คน ต่างจังหวัดเรียกมันว่ารถเครื่องนั่นแหละ ผมเป็นคนต่างจังหวัดก็ขอเรียกมันว่ารถเครื่องก็แล้วกัน เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน บังเอิญปวดท้องมากๆ สงสัยกินมะขามที่เพื่อนร่วมงานเอามาฝากมากเกินไป ผมรู้จักสถานที่แถวๆนี้เป็นอย่างดี เพราะผมผ่านทุกวัน

สงสัยคงต้อง แวะห้องน้ำข้างๆวัดข้างหน้านี้ซะแล้ว ไปอีกไม่ไกลหรอก เป็นทางผ่านระหว่างทางกลับบ้านพอดีว่าแล้วผมก็ขี่รถเครื่องไปแวะที่ห้องน้ำ ข้างๆวัดที่อยู่ตรงหน้าผม ผมจอดรถเอาไว้พร้อมดึงเอากุญแจรถไปด้วย เดินเข้าไปในห้องน้ำสาธารณะข้างวัดทันที

ห้องน้ำตรงนั้นมีอยู่ 2ห้องติดกัน อยู่ในที่เปลี่ยวพอสมควร เพราะไม่มีทั้งไฟ ไม่มีทั้งผู้คน รถก็ไม่ค่อยผ่านมา นานๆทีจะมีมาซักคัน รอบๆห้องน้ำเต็มไปด้วยพุ่มไม้ และต้นไม้ใหญ่

ผมไม่รอช้า รีบเข้าไปอุจจาระทันที ห้องน้ำข้างวัดก็อย่างนี้แหละ ค่อนข้างสกปรกพอสมควร แมงมุม และจิ้งจกก็อยู่ในนั้น ผมอุจจาระจนเสร็จโชคร้าย น้ำไม่ไหล!!

โชค ยังดีที่ผมเอากระดาษทิชชู่มาด้วย อยู่ในตะกร้าหน้ารถผม ผมดึงกางเกงขึ้นแล้วเดินไปเอากระดาษหน้ารถมา ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้งก็สังเกตเห็นประตูห้องน้ำอีกห้อง ข้างๆห้องที่ผมเข้าปิดอยู่ แสดงว่ามีคนกำลังเข้าห้องน้ำอีกห้องหนึ่งอยู่

ผม เข้าไปเช็ดอุจาระออกจากก้นให้เรียบร้อย จากนั้นเดินกลับมาที่รถ น่าแปลก! ห้องน้ำอีกห้องสามารถใช้น้ำได้ ผมได้ยินเสียงน้ำไหลมาจากห้องน้ำห้องนั้น

ผม ไม่ได้สนใจอะไรหรอก ขึ้นค่อมรถเตรียมกลับบ้าน แต่ดูเหมือนผู้ใช้ห้องน้ำอีกห้องกำลังต้องการความช่วยเหลือ ผมได้ยินเสียงผู้หญิงมาจากห้องนั้น เหมือนกับกำลังพยายามเรียกว่ามีใครอยู่ข้างนอกบ้าง

ผมได้ยินลางๆ ไม่ชัด เสียงเบาเกินไป แต่รู้สึกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงกำลังต้องการความช่วยเหลือ ผมเดินไปเคาะประตูถาม 

ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

เรื่องผี ถ่ายติดวิญญาณ



มิถุนายน ปี 2008 ที่ผ่านมา ไปเที่ยวทะเลกันครับ เลี้ยงส่งเพื่อนๆที่ได้ทุนไปเมืองนอก หรือบางคนบ้านรวย พ่อแม่ส่งไปเรียนเมืองนอกเลย (ผมเรียนนานาชาตินะครับ วันปิดมันจะเหลื่อมๆกับ รร รัฐบาลอยู่)

แยกกันไปสองคันครับ คันแรกเป็นรถตู้ เพื่อนผมขับ คันที่สองเป็นรถพ่อผมเอง ผมขับเอง รถผมก็มีแฟน มีเพื่อนผมอีกสองคน ขาไปไม่มีอะไรครับ แต่ตอนจะพักที่บังกะโล

บังกะโลที่ผมจะต้องอยู่กัน เกิดมีปัญหาหลังคารั่วครับ แต่โชคดีที่ไปเจอที่ใกล้ๆกัน ห่างกัน 100-180เมตร คนละเจ้าของกัน ก็จัดการจองเสร็จสรรพ แล้วผมก็ไปกะเพื่อนผมที่เป็นคนท้องถิ่น ไปซื้อของมาทำกินกัน ระหว่างทาง มันก็ถามผมว่า พักกันแถวไหน พอผมให้คำตอบไป มันก็อึ้งครับ แล้วก็ไม่พูดอะไร

ตอนกลางคืน ก็ไปปิ้งกันที่บ้านหลังแรก ที่ๆผมควรจะได้พัก พอปิ้งของกินกันจนอิ่มแล้ว ด้วยความที่ผมเห่อกล้อง Sony Handycam Hi8 กากๆ ตอนปิ้งของ ตอนกิน ตอนเดินกลับผมก็ถือถ่ายไปทั่วครับ เปลี่ยนเทปไปสองม้วน (ม้วนละ 120min)

ผมก็ออกไปเดินกันสี่คน เอากล้องถ่ายไปเรื่อยๆ ไม่ได้เปิด บังกะโลแถวนั้นก็มีคนอยู่ตามปกติครับ เห็นมีฝรั่งออกมายืนดูดบุหรี่หน้าห้องมั่ง ผมเลยเอากล้องหันไป แล้ว say hello เค้าก็กวนๆผมกลับนะ ฮาดี บางหลังเป็นผัวเมียทะเลาะกันก็มีนะ เลยไม่ยุ่ง เดินๆไป ผมก็เดินกลับไปถึงบ้านที่ผมพัก

ตกกลางคืนได้ยินเสียงไล่เคาะประตูห้อง สักพัก ได้ยินเสียงเหมือนคนใช้นิ้วรูดม�
��้งลวดครับ กลัวมาก แต่ก็พยายามหลับจนได้ ตอนเช้า ก็ถ่ายรอบๆบ้านไว้ก่อนกลับ แล้วก็ไปถ่ายวิดิโอหมู่กันที่บ้านหลังที่ผมพักครับ

กลับมาที่บ้าน กรอเทป กะจะดูสักหน่อย เดี๋ยวจะอัดเป็น DVD ส่งให้เพื่อนๆ ปรากฏว่า เทปม้วนแรก ส่วนแรกที่ผมถ่ายตอนเพื่อนๆผมปิ้งของ กินข้าว ปกติครับ แต่พอเข้าท้ายๆม้วนแรก ซึ่งต้องเป็นส่วนที่ผม say hello กับฝรั่ง ปรากฏว่า ผม say hello กันกับพวกตัวเอง โดยที่ไม่มีเสียงตอบกลับมา และภาพในนั้นก็คือบ้านมืดๆ ไม่มีคนอยู่ และเทปม้วนที่สอง จังหวะที่เปลี่ยนเทป ก็เข้าบ้าน ทำไรตามปกติครับ แต่เท่าที่สังเกตุ ม้วนนี้ชอบมีปัญหาเรื่องการ Tracking ครับ (กล้องมันพยายามแทรคสัญญาณตอนเล่นตลอด)

และส่วนสุดท้าย ตอนที่ผมถ่ายรอบๆบ้านที่ผมพัก ไม่ค่อยชัดเจนครับ ภาพมันเบลอ บางส่วนก็สีรั่ว+Noise เยอะมาก คิดในแง่ดือคือเทปเน่า แต่ในแง่ร้ายคือ กรูถ่ายติดผีแน่นอน ท้ายสุด ที่ผมถ่ายวิดิโอหมู่กัน แรกสุด ใช้กล้องเปิดดูกับทีวีก็ปกติ เพราะภาพมันเบลอๆ และเน่าเป็นระยะ แต่พอใช้เครื่องเล่น Hi8 ของเพื่อนมาอ่านเทปแทนกล้องตัวเอง เห็นชัดเลยว่า ตรงหน้าต่าง มีเงาผู้หญิงยืนอยู่แล้วโบกมือบายๆให้ (มารู้ทีหลังว่าที่ๆผมไปพัก เคยมีผัวเมียฝรั่งฆ่ากันตาย โดนฆ่าชิงทรัพย์บ้าง ฆ่าตัวตาย ในตอนนั้นคนไต้หวันหรือฮ่องกงไม่รู้ โดนคู่ขาฆ่าหมกเพดาน)

สยองไปอีกนานครับ เป็นไปได้ ตอนนี้ถ้าเป็นไปได้ ขอไปเช้าเย็นกลับดีกว่า



ที่มาจาก    http://www.shockfmclub.com

วิญญาณ ผีบ้านผีเรือน






เรื่องนี้เกิดที่บ้านเช่าแม่ผมเมื่อ 20 กว่าปีก่อนคับ

วันนั้นแม่ผมไม่สบายขึ้นนอน ไปตั้งแต่เย็น ตัวผมก็อยู่กับแม่ข้างบน แล้วประมาณ สองทุ่ม หรือสามทุ่มประมาณนั้น ก็ได้ยินพี่สาวกลับมาบ้าน ก็ไม่ได้

เอะใจอะไร ก็คิดว่าคงหาอะไรกินตามปกติ จนประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป พี่สาวได้เดินขึ้นมาข้างบนบ้าน เห็นผมกำลังดูทีวี และแม่ก็นอนอยู่ พี่ผมก็เลย

สงสัยคับ ถามผมว่า แม่ขึ้นมาทำไมหลับไวจัง ผมก็งงเช่นกัน เลยถามพี่กลับไปว่ามีไรเปล่า ตอนนั้นผมเห็นพี่ผมหน้าซีดละ เลยถามใหญ่เลย จนพี่ผมเล่า

ให้ผมฟังว่า มะกี้ตอนเขากลับมา เขาบอกแม่ว่าหิวข้าว แม่ก็เลยทอดไข่ให้เขากิน แล้วพี่ก็ถามผมว่า สรุปแม่ได้ลงไปข้างล่างมั้ย ผมได้แ
ต่ส่ายหน้าคับ

เหอๆ นี่ประสบการณ์ครั้งแรก

อยู่มาวันนึง บ้านหลังเดิม แม่ปวดท้องไปหาหมอมา หมอให้ยามาบอกโรคกระเพาะธรรมดา กินยาก็หาย สรุปคืนนั้นแม่ผมนอนหลับ แม่บอกว่ามียาย

คนนึง มาบอกแม่ผมว่า "หนูๆ อย่านอนตะแคงไปข้างนั้นนะ รีบตื่นเดี๋ยวนี้แล้วไปโรงพยาบาล ไส้ติ่งกำลังจะแตก" แม่ผมก็ตื่นมา ก็เลยไปโรงบาลกัน พอ

เจอหมอ แม่ผมบอกหมอว่า ไส้ติ่งจะแตก หมอ งง ดิคับ หมอถามกลับมาเลย คุณรู้ได้ไงว่าเป็น เขาทำเสียงแบบไม่เชื่อ แม่ผมเลยด่าหมอไป จนหมอ

ตรวจวินิจฉัยเรียบร้อย ผ่าตัดคืนนั้นเลย นอนโรงบาลอยู่หลายวัน จึงกลับบ้านได้ เล่าให้หมอฟังหมอก็ยังช้อค หากผีบ้านผีเรือนไม่ช่วย แม่ผมคงเสียไป

นานแล้วคับ โชคดีมากๆเลย





ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com

เจอวิญญาณผีตายโหง เพื่อนพี่สาว




เมือปีพ.ศ.2537 หลังคุณตาเสียได้ประมาณ2เดือนก็ได้มีเหตุที่ทำให้ผมต้องเจอผี รอบที่ 2แต่ ผีที่ว่าเป็นวิญญาน ผีของเพื่อนพี่สาว ชื่อ พี่สี

เรื่องมีอยู่ว่า
หลังจากคุณตาเสียได้ 1เดือน ที่โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม วันนั้น พี่สีและพี่เล็กกำลังขับมอไซค์กลับบ้านด้วยกัน ระหว่างทางเห็นพี่สาวผม กำลังเดินกลับบ้านขึ้นรถเมล์ ก็จอดแล้วพูดว่าโอเล่ขึ้นรถมอไซค์กลับบ้านด้วยกันสิ พี่สาวบอกว่าเออไม่กลับไปด้วยหรอกวันนี้จะกลับพร้อมน้องชาย(พี่ฮอลล์)เธอพา แดง

กลับไปด้วยสิ แล้วพี่เล็กพี่สีพี่แดงก็ขี่มอไซค์กลับไปด้วยกัน พอมาถึงตรงต้นโพธิ์หน้าโรงเรียน พี่เล็กขับรถเสียหลัก ทั้ง 3คนก็ตกจากรถมอไซค์แต่เคราะห์ร้ายพี่สีคอตกลงพื้นก่อนแล้วกคอพี่สีก็หัก พอดีโรงพยาบาลอำเภออยู่แถวนั้นก็พาไปที่โรงบาลแต่ หมอบอกว่าพี่สีกระดูกคอหัก หมอก็เลยให้เจ้าหน้าที่ไปส่งที่ร.พ.ศรีสะเกษ

พอไปถึงโรงพยาบาล หมอก็ทำการรักษา มาที่บ้านผม พี่สาวผมรู้ข่าวก็เสียใจร้องให้ใหญ่อยู่ตรงบันไดบ้าน ผมก็เห็นพี่สาวร้องแต่ไม่รู้ร้องให้เรื่องอะไรรู้ว่าพ่อไปด่าพี่สาวว่า อีหอกมึงจะร้องทำพระแสงอะไรว่ะ พ่อด่าพี่สาวว่าไม่ไปช่วยขนข้าวของเข้าบ้าน ร้องให้เรื่องอะไรไม่รู้

พี่สาวบอกว่าพี่สีคอหัก ผมก็งงแล้วพี่สีเป็นอะไรคอหักผมไม่ได้ถามแค่ได้ยินจากพ่อพูดกับพี่โอเล่ พอพ่อได้ยินพี่โอเล่พูดเท่านี้พ่อก็ไม่ด่าพี่โอเล่อีก วันต่อมา พี่แดง มาบอกพี่โอเล่ว่าสี ฟื้นแล้วพี่สาวก็ดีใจมากๆ แล้วยังบอกอีกว่าได้คุยกันอยู่บ้านแต่เจ็บคออยู่ พอพี่สีกลับบ้าน

ตอนกลางคืนพี่สาวผมร้องอีกรอบ 2 เพราะพี่สีได้เสียชีวิตแล้วทั้งที่ตอนเช้ายังคุยกับพี่แดงอยู่เลย งานศพของพี่สีผมไม่ได้ไปร่วมงานกับเขาเพราะพี่สีอยู่คนล่ะหมู่บ้านแต่อยู่ หมู่บ้านกล้กัน ตอนที่เขาเอาศพพี่สีกลับมา ญาติๆของเขาไม่มีใครกล้าใส่เสื้อให้ศพสักคนเพราะกลัวพี่ตายโหง

แต่พี่สาวผมเป็นคนสวมใส่ให้เองใ�
�่ไปร้องให้ไป
เพราะพี่สาวผมสนิทกับพี่สีเป็นอย่างมาก ในวันบรรจุศพฝังพี่สี เขาได้เคลื่อนขบวนศพมาที่ป่าช้าหลังโรงเรียนเขาไม่ไปบรรจุศพฝังที่วัดเพราะ ความเคยชิน

ในสมัยก่อนเขาจะฝังที่ป่าช้า ปัจจุบันมีเมรุแล้วก็เผ่าฝังที่วัด พอดีตรงที่ขบวนศพผ่านมา มาผ่านตรงห้องเรียนชั้นล่างของผม ชั้นป3ทับ1อาจารย์กำลังสอนอยู่ ผมก็เห็นขบวนผ่านมา ก็ไม่สนใจฟังอาจารย์สอนหนังสือ ก็ชะโงกดูขบวนศพ อาจารย์เห็นผม ไม่สนใจฟังอาจารย์ก็เลย

ลงโทษให้ผม ออกจากห้อง แล้วพูดว่าถ้าอยากดูก็รีบไปดูเลย ผมดีใจมากก็เลย ไปเลย พอดูเสร็จก็กลับมาเรียนต่อแต่เรื่องมีอยู่ว่า

หลังจากนั้นผ่านไป 1เดือน วันหนึ่งผมกับเพื่อน 6คนไปเล่นใกล้ป่าช้าหลังโรงเรียน อยู่เพื่อนคนหนึ่งเอาน้ำขี้โคลน ลาดใส่ผมผมก็โกรธมาก ผมก็เลยด่าชื่อพ่อแม่มันตามประสาเด็กๆ อาลาบาน ผมก็ขึ้นไปล้างโคลนที่สระน้ำหลังโรงเรียนเป็นสระใหญ่ผ่านที่เผาศพ แล้วผมก็ลงไปที่สระล้างทำความสะอาด

ทันใดนั้นเองหางตาผมเห็นอะไรขาวข้างหลัง แต่ผมมองไปก็ไม่เห็นมีอะไร ผมก็ล้างความสะอาดต่อแล้วผมก็ได้ยินเสียงคุ้นๆหู โอมทำอะไรหรอ ผมก็มองไปที่ต้นเสียงมองไปทางป่าช้า ก็ไม่เห็นมีอะไร

พอหันกลับมาจะๆ อาๆๆๆช่วยด้วยผีหลอก หวอๆ ผมก็เลยวิ่งขึ้นสระใส่เกียร์ หมา วิ่งเร็วแบบไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ฮือๆ ผมตกใจมาก ผมเห็นผีพี่สีใน สระน้ำยิ้มให้ผมอยู่ แล้วผมก็มาเล่าให้เพื่อนฟังไม่มีใครเชื่อเพื่อนมันบอกว่าใหนไปดูสิ ผมไม่กล้าพาไปแต่เพื่อนผมอยากไปดูแต่ไป6คนเห็นเยอะเลยกล้าไปพอไปก็ไม่เห้น แล้ว แต่ ผมก็พูดเองว่าพี่หลอกเพื่อนวิ่งหนีกันอุดตลุด

เรื่องผีพี่สียังไม่จบแค่นี้ ยังมีให้หลอนอีกเยอะเดี่ยวจะเอามาเล่าให้ฟังทีหลังเรื่องหน้าหลอนโครตๆ หลอกกันกระจุ่ย หลังจากผ่านไป3เดือน พ่อพี่สีก็สินใจตายเพราะอาลัยในลูกสาวเสียใจมากไม่กินข้าวกินปลา พลัมแต่พูดลูกเอ่ยเดี่ยวพ่อจะไปอยู่กับลูกน่ะ 




ที่มาจาก  http://www.shockfmclub.com