วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตาทิพย์





เมื่อเอ่ยถึงเรื่องผีๆ สางๆ ขึ้นมาในหมู่เพื่อนฝูง รับรองว่าจะต้องมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อว่าผีมีจริง รวมทั้งคนกลัวผีกับไม่กลัวผี แต่ส่วนมากมักจะเชื่อและกลัวนะครับ หลายๆ คนยอมรับว่าไม่เคยเห็นผีเลยสักครั้งเดียว แต่ก็กลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ

แม้แต่คนหนุ่มๆ สาวๆ ทันสมัยก็ยังพูดจาตามยุคสมัย บอกว่า...เป็นอะไรที่...แบบว่า...ไม่อยากเจอะเจอที่สุด... กลัวดิ!

ส่วนคนไม่กลัวผีก็บอกว่า เรื่องผีเป็นเรื่องเหลวไหวเอาไว้หลอกเด็ก พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีตัวตน ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านหมดแล้ว...ผงธุลีจะยังมีฤทธิ์เดชอะไรอีกล่ะ?

วันนี้ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าให้ฟัง และให้ท่านช่วยพิจารณาว่าผีมีจริงหรือไม่?

สมัยเด็กๆ ผมอยู่แถววัดสิงห์ ย่านบางพลัด ลงสะพานกรุงธนฯ ผ่านภัตตาคารเรือนแพแล้วเลี้ยวซ้าย...ที่นั่นมีชายชราอายุหกสิบเศษชื่อตา เครือ ชอบนั่งซดเหล้าโรงอยู่ที่ม้ายาวหน้าบ้าน มองดูผู้คนผ่านไปมา เด็กๆ วิ่งเล่นเกรียวกราวในตอนเย็น

ชาวบ้านลือกันว่าแกเคยบวชอยู่ที่วัดโพธิ์ท่าเตียน มี "ตาทิพย์" จากวิปัสสนากรรมฐาน จนสามารถเห็นวิญญาณต่างๆ ได้อย่างชัดเจนเหมือนเรามองเห็นคนเป็นๆ นี่เอง

เมื่อสึกหาลาเพศมาได้ครอบครัวก็ประกอบอาชีพค้าขาย กระทั่งมีฐานะมั่นคงและชราแล้วจึงวางมือให้ลูกหลานทำการงานต่อไป

ตาเครือรูปร่างผอมสูง ผมขาวโพลน ชอบนุ่งกางเกงแพรกับสวมเสื้อคอกลม เป็นคนแก่ใจดี รักเด็กๆ ในย่านนั้นเหมือนเป็นลูกเป็นหลาน มีขนมแจกบ้าง มีของเล่นแจกบ้าง บางวันก็ควักสตางค์ให้เด็กๆ ไปซื้อขนมกิน ตาเครือมักจะยิ้มมากกว่าพูด แต่บทจะพูดขึ้นมาก็มักจะพูดยืดยาว

ผมเคยถามแกว่า...เขาว่าตามองเห็นผีจริงๆ หรือ?

"โอย...เยอะ!" แกตอบยิ้มๆ มองนั่นมองนี่ตามเคย "รอบๆ ตัวเรามีเยอะด้วย โบราณถึงสอนว่าจะทำอะไรไม่ดีไม่งาม�
��็ให้รู้จักอับอายผีสางเทวดา เพราะถึงคนจะไม่เห็น แต่ผีสางเทวดาก็เห็น"

ผมหันซ้ายหันขวาตามสายตาแก แต่ก็ไม่เห็นอะไร นอกจากคนที่เดินผ่านไปมาเท่านั้นเอง

"ตาเห็นอะไรล่ะครับ?"

"ก็วิญญาณน่ะซี! มากมายพอๆ กับคนเรานี่เอง บางทีมากันแน่นเชียวแทบจะชนกันด้วยซ้ำ...นั่น! ยายกิ่งกับยายกลอย โน่น! ตาแฉ่งกับลุงชื้น...พ่ออั๋นกับแม่อ่อน อ้าว? เป็นไงมั่งเจ้าเปี๊ยก โดนรถชนตายแล้วยังวิ่งซนตามเคย นะเอ็ง"

ตาเครือพูดกับใครที่อยู่ข้างๆ ผม แถมเอื้อมมือไปลูบไล้อากาศว่างเปล่า แต่ท่าทางคล้ายกำลังลูบหัวเด็กอยู่ไม่มีผิด...เล่นเอาผมงี้ขนลุกซ่าไปเลย

จนถึงวันเกิดเรื่องน่าขนหัวลุกที่ผมไม่มีวันลืมได้เลยจนวันตาย!

ตาเครือแจกเงินเด็กๆ ไปซื้อขนมแล้ว แต่ผมเห็นแกนั่งเงียบๆ ซึมๆ เป็นเชิงว่าไม่อยากพูด...หรืออาจจะเริ่มเมาแล้วก็ได้ จำได้ว่าใกล้ค่ำ อากาศฤดูหนาวเยือกเย็น ตาเครือหันไปทางปากซอย ขมวดคิ้วจนผมมองตามเห็นคนเดินผ่านไปมาตามปกติเช่นทุกวัน

"มากันเยอะแยะเชียววันนี้..." แกออกชื่อตามเคย บางคนผมไม่รู้จัก แต่บางคนก็พอจะรู้ว่าตายไปแล้ว จนได้ยินเสียงตาเครือดังขึ้นอีกว่า "อ้อ! เจ้าหลาดก็มาด้วย..."

"หลาดไหนล่ะตา?" ผมหันไปมองหน้าแก "ลุงหลาดช่างไม้หรือเปล่า?"

"เออ! ก็เจ้าหลาดน่ะแหละ ไอ้หนูเอ๊ย" แกถอนใจยาว...คราวนี้ผมแน่ใจว่าตาเครือเมาแล้ว เพราะลุงหลาดยังไม่ตาย แถมผมยังมองไม่เห็นลุงหลาดเลย

จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นถึงได้ข่าวว่าลุงฉลาด หรือ "หลาด-ช่างไม้" โดนรถชนตายที่บางแคเมื่อเย็นวานนี้เอง!

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าตาเครือมีตาทิพย์จริงๆ แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นวิญญาณด้วยตัวเอง แต่เรื่องนี้ทำให้ผมขนหัวลุกอยู่นาน นึกแล้วยังน่ากลัวไม่หาย...คุณผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยครับ...ผีมีจริงหรือ ไม่จริง?!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด






เรื่องเล่าสยองขวัญ ที่สวนเปลี่ยว








ดิฉันเป็นลูกชาวสวนบางกรวย นนทบุรีนี่เองค่ะ แม้ความเจริญจะรุกรานเข้ามาเรื่อยๆ แต่ต้นไม้ก็ยังร่มครึ้มอยู่ ทั้งให้ร่มเงาและช่วยกรองมลพิษต่างๆ ทั้งทำให้เย็นตาเย็นใจเพราะสีเขียวที่แวดล้อมอยู่รอบตัว มองแล้วจิตใจสงบเยือกเย็นดีด้วยค่ะ

เขาว่าต้นไม้ใหญ่ๆ มักจะมีผีสิงใช่ไหมคะ?

โบราณท่านช่างฉลาดคิด มีจินตนาการเหลือเชื่อ โดยบอกว่าสิ่งลี้ลับที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้นั้นไม่ใช่ภูตผีปีศาจใดๆ แต่เป็นเทพารักษ์หรือเทวดารักษาต้นไม้

ต้นโพธิ์ต้นไทรมีกิตติศัพท์โด่งดังกว่าต้นไม้ทั่วๆ ไป...นั่นคือผีดุมาก!!

ไม่ว่าใครก็เชื่อทั้งนั้น ดิฉันเห็นต้นไม้พวกนี้มีผ้าหลากสีผูกที่โคนและก้านเตี้ยๆ แถมยังมีเครื่องแก้บนต่างๆ เช่น ตุ๊กตาดินเผา และตุ๊กตาไม้กองเกลื่อนอยู่รอบๆ โคนต้น หรือไม่ก็เป็นด้านที่มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นประจำ...

ไหนจะธูปควันกรุ่นที่ปักอยู่ใกล้กับก้านธูปเก่าๆ สีซีดจาง กระจายอยู่ที่โคนต้น ทำให้รู้สึกถึงความลึกลับ น่าอัศจรรย์ มีพลังอย่างประหลาด...บางครั้งมองเห็นถึงกับขนลุกซ่าไป ทั้งตัว

หมู่บ้านเรามีต้นไทรขึ้นอยู่ข้างทาง แต่ไม่เหมือนกับต้นอื่นๆ เพราะส่วนมากจะร่มครึ้ม ดกหนา บ้างก็แผ่กระจายกิ่งใบแทบจะคลุมดิน มีรากยาวห้อยระย้าลงมา แต่ต้นไทรที่ว่ากลับพุ่งสูงขึ้นไปเหมือนต้นสนสองใบ หรือสนใบแบนไม่ผิด

นอกจากนั้น ยังมีกิ่งใบโปร่งๆ จนมองเห็นได้ทั่วต้น กิ่งที่อยู่ต่ำสุดก็สูงขึ้นไปราว 4-5 เมตร มีรากห้อยระย้าลงทั้งยาวและสั้น กิ่งก็โปร่ง รากก็โปร่ง ดูจะไม่มีอะไรลี้ลับที่ชวนให้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนิด

ผู้ใหญ่บอกว่า ถ้ารากที่ห้อยยาวลงมาถึงพื้นดินเมื่อไหร่ ก็จะงอกขึ้นมากลายเป็นต้นใหม่เมื่อนั้น พวกเด็กๆ ก็คอยไปนั่งดูยืนดูกัน ว่าเมื่อไหร่รากที่ยาวกว่าเพื่อน ห่างจากดินราวเมตรเดียวจะห้อยลงมาถึงดินสักที?

รอแล้วรอเล่าก็ไม่เคยเห็นผลหรอกค่ะ เราพูดกันสนุกๆ ว่า...ไทรผีสิงมั้ง?

วันหน�
�่ง ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปเล่นที่โคนต้นไทร แล้วแหงนมองรากแปลกๆ เอียงซ้ายเอียงขวาตามประสาเด็ก จู่ๆ รากทุกรากก็แกว่งไกวไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดเลย เล่นเอาเราเอะใจ ก็พอดียอดไทรไหวซ่า...เสียงเหมือนใครหัวเราะครืน!

ลมไม่พัดแต่ไทรสะบัดกิ่งใบได้ยังไง...ต้องวิ่งหนีกันกระจาย น่ะซีคะ

ความจริงย่านนั้นยังมีต้นโพธิ์ต้นไทรใหญ่น้อยอีกหลายต้น มีคนไปบนบานขอหวยกันมานานแล้วค่ะ ทั้งผ้าแพรและตุ๊กตาแก้บนเต็มไปหมด ยกเว้นไทรประหลาดต้นนี้เท่านั้นที่ไม่มีผ้าแพรสวยๆ พันต้น ไม่มีตุ๊กตาเสียกบาล...ไม่มีแม้แต่ธูปสักดอกเดียว!

สาเหตุก็เพราะไม่มีใครสนใจน่ะซีคะ เห็นเป็นต้นไม้ธรรมดา เหมือนมะม่วงชมพู่ทั่วๆ ไป

วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญ ร่ำลือกันไปทั้งตำบล!

"พี่หนิม" เป็นสาวสวยระดับดารา ชื่อจริงๆ ไม่ทราบค่ะ เพื่อนบอกว่าคงหมายถึงหงิมๆ อะไรนี่แหละ พี่หนิมเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน ผิวขาวเหลืองจนพวกเราอยากขาวสวยเหมือนพี่หนิมบ้าง

พ่อแม่เธอดุมาก มาจากสาเหตุหวงลูกสาวเพราะมีหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน ทั้งจากบางพลัด บางอ้อ บางขุนนนท์ บางใหญ่ ไปถึงฝั่งพระนคร มีเสียงดุด่าจากบ้านพี่หนิมเป็นประจำ...บางครั้งเธอก็หายหน้าไป 2-3 วัน ได้ข่าว่าพ่อกักตัวไว้ในบ้านค่ะ

วันเกิดเหตุ ลุงเกตคนข้างบ้านดิฉันเข้าสวนแต่เช้า ร้องเอะอะโวยวายจนใครๆ พากันวิ่งออกไปดู ครั้นแหงนหน้าขึ้นมองก็ตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กัน...ร่างพี่หนิมห้อยโตงเตงอยู่บนกิ่งไทรประหลาดต้นนั้นเอง!

ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่หนิมน้อยใจที่พ่อแม่ดุด่าแทบไม่เว้นแต่ละวัน เลยคิดสั้น เอาผ้าขาวม้าพ่อมาแขวนคอกลางดึก...ว่าแต่กิ่งไทรนั่นสูงเลยหัวไปเกือบ 2 วา...ไม่มีทางที่พี่หนิม หรือใครจะปีนป่ายขึ้นไปได้ง่ายๆ

ผีหรือคะที่มาชักชวน ฉุดพี่หนิมขึ้นไปอยู่ด้วย?

เป็นปัญหาน่าสยองที่ยังไม่มีคำตอบมาถึงทุกวันนี้ แต่นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

วิญญาณ ของ น้าชาย







วันอาทิตย์ที่แล้วนี่เอง ผมนั่งซักผ้าอยู่คนเดียวในหอพักใกล้มหาวิทยาลัยแถวรังสิต เพราะเพื่อนนักศึกษาที่เช่าห้องอยู่ด้วยกันกลับบ้านที่คลองเตย ส่วนผมอยู่บางขุนนนท์... ขณะนั้นเองผมก็ได้กลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวดที่น้าผมชอบใช้ประจำ

น้านนท์แก่กว่าผมไม่กี่ปี เรียนจบจากแอลเอมาหมาดๆ หอบเครื่องสำอางผู้ชายมาเป็นกะตั๊ก...เป็นกลิ่นที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน!

พอได้กลิ่นนี้ปุ๊บ ผมก็นึกว่าน้านนท์มาหาแน่แล้ว เพราะประตูไม่ได้ล็อกเพื่อนฝูงชอบเดินเข้าเดินออกกันบ่อยๆ ผมเรียกน้านนท์และเดินออกมามองๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงา เปิดประตูไปดูตรงทางเดินหน้าห้องก็ไม่มี

เอ๊ะ! มันยังไงกันแน่หว่า?

แต่แปลกนะครับ กลิ่นน้ำหอมหลังโกนหนวดดูเหมือนจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเฉพาะหน้าประตู ห้องน้ำเท่านั้น ชนิดก้าวออกมาแค่ก้าวเดียวก็ไม่ได้กลิ่นแล้ว ไม่เหมือนกลิ่นปกติที่มันจะลอยฟุ้งไปทั้งห้อง โชยไปโชยมาตามกระแสอากาศ แต่นี่หน้าต่างก็เปิด ลมก็โกรก แต่กลิ่นยังเป็นกลุ่มเป็นก้อน นิ่งอยู่ตำแหน่งเดียว

ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดอะไรมาก แต่รู้สึกว่ามันแปลกดี สนุกด้วย...ก้าวเข้าไปก็ได้กลิ่น ถอยออกมาก็หมดกลิ่น!

เรื่องแปลกยังไม่จบครับ ผมซักผ้าเสร็จก็ตากที่ระเบียง นึกในใจว่าเดี๋ยวจะโทร.เข้ามือถือน้านนท์ ตอนนี้อยู่ไหนหนอ? น้าคงคิดถึงเรามากจึงส่งกระแสจิตมาหา...

แต่ขณะที่ผมเดินไปเดินมาระหว่างห้องน้ำกับระเบียง ผมเกิดความรู้สึกว่ากลุ่มก้อนของน้ำหอมเคลื่อนจากที่เดิม จากหน้าห้องน้ำมาตรงประตูทางออกระเบียงเหมือนมีน้านนท์ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ

ที่หน้าห้องน้ำไม่มีกลิ่นครับ! สาบานเลย กลิ่นนั้นค่อยๆ เคลื่อนไม่ใช่หายจากห้องน้ำมาอยู่หน้าระเบียงหรอก แต่มาช้าๆ ทีละก้าว ทีละสเต็ป ย้ายจากที่เดิมมา�
��รื่อยๆ

ตอนนั้นผมเริ่มนึกอะไรออกแล้ว...มือที่จะตากผ้าชะงัก ใจหายวูบและเริ่มสังหรณ์! วางผ้าลงกะละมังแล้วรีบโทร.เข้ามือถือน้านนท์แต่ไม่มีใครรับสาย ผม มองนาฬิกา...ห้าโมงเช้าพอดี!

รีบโทร.กลับบ้านไปหาแม่ แม่บอกว่าน้านนท์ไปพัทยา พาสาวไปเที่ยว ผมฟังแล้วไม่สบายใจ หันซ้ายหันขวา แล้วก็ เหมือนมีอะไรมาบอกให้เปิดวิทยุฟัง จส.100

ได้เรื่องเลยครับ!

เสียงรายงานข่าวอุบัติเหตุ รถยี่ห้อและทะเบียนของน้านนท์เสยกับสิบล้อ...ผู้ชายคนหนึ่ง ก็คงน้านนท์แน่ละ และผู้หญิงสามคนบาดเจ็บ หน่วยกู้ชีพนำตัวส่งโรงพยาบาลและกำลังติดต่อญาติ...ผมรีบโทร.บอกแม่ แม่ตกใจมากและรีบติดต่อ จส.100 และโรงพยาบาลที่รับตัวคนเจ็บไว้ทั้งหมด

ผมรีบกลับบ้าน แล้วครอบครัวเราก็รีบบึ่งรถไปโรงพยาบาล

...น้านนท์คอหัก หมดสติ โคม่าจนมาสิ้นลมที่ห้องฉุกเฉิน ส่วนสามสาวเจ็บกันคนละเล็กน้อย...พวกเธอร้องไห้เสียดายความหล่อและความดีงาม ของน้านนท์ของผมมาก

ผมน้ำตาไหล มองดูศพน้านนท์ซึ่งบาดแผลแทบไม่มีเลย นอกจากรอยช้ำที่หน้าผาก และรอยบวมนิดๆ แถวคอเท่านั้น เขาดูเหมือนคนนอนหลับมากกว่า สงบและยิ้มนิดๆ ด้วยซ้ำ...เหมือนจะบอกลา! แม่เศร้ามาก พอได้สติในหลายชั่วโมงต่อมา แม่ถามผมว่ามีสังหรณ์อะไรหรือ?

เมื่อแม่ได้ฟังแล้วก็ดูผ่อนคลายลง แม่สบายใจขึ้นแม้จะยังเศร้า แม่พูดว่า ถ้างั้นวิญญาณก็มีจริงน่ะซี! และถ้าวิญญาณมีจริง สักวันเรากับน้านนท์ก็จะได้พบกันอีกในโลกหน้า...หรือโลกหลังความตาย!

ฟังแบบนี้ก็โล่งใจ หายเศร้าไปเยอะ

ผมปลอบแม่ให้คิดเสียว่า ตอนนี้น้านนท์กลับไปทำงานที่เมืองนอก เราจากกันแค่ชั่วคราวแล้วจะเจอกันอีก ความตายไม่น่ากลัวหรอกครับถ้าเราทำความดีอยู่เสมอ...แต่กับคนที่ทำผิดคิด ชั่ว ความตายก็น่าสยองนะครับ!!



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

วิญญาณงูผี







สมัยหนุ่มผมอยู่บางนาใกล้ๆ วัดทุ่ง มีถนนขรุขระไปออกก้นซอยอุดมสุขได้ ใกล้กับซอยนั้นมีร้านอาหารป่าเป็นโรงเรือนชั้นเดียวโล่งๆ ด้านซ้ายตั้งโต๊ะเตี้ยๆ กลางแจ้งมีเสื่อปูให้ลูกค้านั่งล้อมวงดื่มกินกันอย่างสบายใจ

ร้านนี้มีทั้งงูเห่า เต่า ตะพาบ ไปถึงเก้ง กวาง แย้ผัดเผ็ดใส่เปราะหอมก็ขายดี บางวันมีเมนูพิสดารเป็นเนื้อเสือ เนื้อหมีด้วย หลายๆ คนก็อยากลองกินดู

ผมมีเพื่อนสนิทชื่อเจ้าหมั่น อาชีพขับรถกระบะรับจ้าง วันไหนกลับเร็วก็จะมาชวนผมไปกินเหล้า ผลัดกันเลี้ยง...ตอนนั้นมีแค่ 200-300 บาทก็ได้เมากันเต็มที่แล้วครับ

เจ้าหมั่นชอบชวนไปร้านอาหารป่าที่ว่าบ่อยกว่าที่อื่น มันบอกว่าถูกปากดี!

เราชอบนั่งกลางแจ้งมากกว่านั่งโต๊ะในร่ม สั่งเหล้าโซดาน้ำแข็ง...ที่ขาดไม่ได้คืองูเห่าผัดเผ็ด วันไหนเงินหนาก็จะสั่งเลือดและดีงูมากิน เจ้าหมั่นบอกว่าแก้หนาว นัยน์ตาดีเหมือนตางู...ข้อสำคัญคือเป็นยาโป๊วที่พวกผู้ชายชอบกินกัน

ตอนจะเข้าห้องน้ำเราต้องเดินผ่านกรงใส่งูเป็นๆ ทั้งน่ากลัวและน่าสงสารบอกไม่ถูก มีลูกค้าบางคนมาชี้ว่าจะเอาตัวนั้นตัวนี้ บางคนก็ดูเขาปาดคองูเอาแก้วรองเลือดแดงข้น... กินทั้งเลือดงูดีงูอย่างหน้าตาเฉย!

ผมไม่เคยกินทั้งสองอย่าง...มองเขาถลกหนังงูเห็นเนื้อขาวๆแต่มันยังไม่ตาย เพราะบิดไปมา จนผมต้องเดินหนี... นึกถึงตางูที่จ้องมองราวร่ำร้องว่ามนุษย์นี่ช่างใจร้ายสิ้นดี

วันหนึ่ง เจ้าหมั่นสั่งงูผัดเผ็ดตามเคย ผมสั่งยำกบกับแกงหอยขม มีแม่ค้ามาขายเมี่ยงคำเลยสั่งมารองท้อง รายการนี้ต้องจ่ายเงินก่อน...เจ้าหมั่นหายไปข้างในพักใหญ่ก็เดินสูบบุหรี่ ยิ้มกริ่มกลับมา...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันไปจัดการกับเลือดและดีงูมา เรียบร้อยแล้ว

เวลาผ่านไปจนมืดค่ำ...เจ้าหมั่นคุยฟุ้งถึงสรรพคุณดีงู แต่ผมนึกถึงพวกงูเห่าในกรงที่รอความตาย บางตัวแถกไถจนปากเปื้อนเลือดแล้วตันคอหอยจนไม่นึกอยากกิน

สามทุ่มกว่าลูกค้าก็บางตาลง รถราทยอยกันออกไป หนุ่มสาวบางคู่เดินคลอเคลียกันไปขึ้นรถยนต์ เลี้ยวข�
��าเข้าซอยอุดมสุข...อาจจะมีบังกะโลสุขใจเป็นจุดหมายก็ได้?

เราลุกอืดอาดไปที่รถเจ้าหมั่นที่จอดแอบอยู่ริมทางด้านใน ตอนนั้นยังเป็นทุ่งหญ้าและป่าละเมาะค่อนข้างรก...ไม่ช้าก็ขับรถย้อนกลับทาง เดิมเพื่อกลับบ้าน

ผมเขม่นตาขวายิบๆ ใจนึกถึงแต่พวกงูที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในกรง...แสงไฟพวยพุ่งอยู่บนทางขรุขระ สองข้างทางเปล่าเปลี่ยวน่าใจหาย...จู่ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นกะทัน หัน ต่อหน้าต่อตาเราทั้งสองคน!

งูดำเมื่อมตัวหนึ่งกำลังเลื้อยปราดๆ จากพงหญ้าด้านซ้าย ตัดหน้ารถในระยะใกล้ ลำตัวขนาดใหญ่ราวต้นแขน ยาววาเศษ...หรือไม่ก็ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลงเลย

"เฮ้ย! อะไรวะ..." เราตะโกนแทบพร้อมๆ กัน เจ้าหมั่นด่าตามเป็นชุดขณะที่ตะบึงรถแล่นทับงูตัวนั้นไป คิดว่าคงจะราวๆ กลางลำตัว ส่วนผมขนหัวลุก รู้สึกหนาวเยือกจากต้นคอลงไปตามแผ่นหลังเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง

เสียงรถเบรกเอี๊ยด เจ้าหมั่นเปิดประตูออกไปพร้อมกับคำราม

"ดีละ! กูจะเอามึงไปผัดเผ็ดกินพรุ่งนี้ซะเลย"

ผมนั่งตัวแข็งอยู่กับที่ แว่วเสียงเพื่อนบ่นอะไรพึมพำ ก่อนจะเดินมาบอกว่าไม่เห็นอะไรเลย! ขนาดรถทับมันกลางตัวเห็นๆ จนน่าจะขาดกลางแล้ว แต่ไม่รู้ว่างูตัวนั้นมันหายไปไหน? เจ้าหมั่นคว้าไฟฉายจากเก๊ะไปส่องดูให้แน่ใจ ไม่ช้าก็ผิดหวังกลับมาขึ้นรถ

"ไอ้ห่...งูผีหรือไงวะ? ตัวยาวเป็นวา โดนทับกลางตัวเสือกหายไปเฉยเลย"

คืนนั้นผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ฝันเห็นแต่งูในกรง ปากเปรอะเลือดส่งเสียงกรีดแหลม...ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจนผมสะดุ้งตกใจ ตื่น ใจสั่น เหงื่อกาฬแตกซิก

วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าเจ้าหมั่นเป็นไข้หนัก นอนซมอยู่กับบ้าน...ผมไปเยี่ยมก็เห็นมันหน้าซีดขาว แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงพูดแหบแห้งเต็มที

"มันจะกินเลือดกู...มันจะกินดีกู! ไอ้งูผีเปรตนั่น...โอย..."

ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว พูดจาปลอบโยนไปตามเรื่อง เมียมันเอายากับน้ำมาให้เจ้าหมั่นก็เอะอะว่าเป็นเลือดงูแดงสด... มันกินไม่ลง! เลือดงูผีตัวใหญ่ ยาวตั้งเกือบสองวา



เรื่องเล่าจาก ข่าวสด

เรื่องผี วิญญาณ ตึกร้าง








เมื่อราว 3 ปีก่อนผมมาเช่าห้องอยู่กับเจ้าใหม่ที่ย่านบางกอกน้อย เราเป็นเพื่อนที่ทำงานบริษัทเดียวกันครับ จนกระทั่งสนิทกันมากๆ ตามประสาชายโสด นิสัยใจคอชอบสนุกสนานรื่นเริง ไม่คิดเล็กคิดน้อยเหมือนกัน เลยมาเช่าห้องอยู่ด้วยกันซะเลย

ตอนแรกก็คิดว่าใกล้ที่ทำงานแถวท่าพระ แถมยังมีเพื่อนช่วยแชร์ค่าห้องเช่า ไม่ต้องว้าเหว่เหมือนอยู่คนเดียวอีกต่อไป

คือมองโลกในแง่ดีน่ะซีครับ นึกไม่ถึงว่าผมกับเจ้าใหม่จะเป็นเพื่อนแนวคู่เวรคู่กรรม ชอบเที่ยวเตร่เฮฮาเหมือนกัน เที่ยวคนเดียวน่ะไม่ค่อยสนุกหรอกครับ เดี๋ยวก็กลับรัง แต่พอมีเพื่อนถูกคอเข้า แหม...ตกค่ำเมื่อไหร่เป็นต้องแวะผับนั้นบาร์นี้อยู่เป็นประจำ

ไหนจะเงินทองฝืดเคืองตอนปลายเดือน ไหนจะโดนผีหลอกเอาเต็มรักอีกต่างหาก

โดนหลอกที่ไหนไม่โดน มาโดนผีหลอกตึกร้างกลางซอยก่อนถึงห้องเช่าของราว 20 เมตรเท่านั้นเอง!

ตึกร้างที่ว่าน่ะไม่ใช่ไร้คนอยู่ ใส่กุญแจทิ้งไว้เฉยๆ นะครับ แต่เป็นตึกร้างแบบพังยับเยินเหมือนโดนไฟไหม้หรือระเบิดลงยังงั้นแหละเอ้า ไม่มีประตูหน้าต่าง ผนังกั้นห้องแตกร้าวเหลือแค่ครึ่งๆ กลางๆ หลังคาก็แหว่งโหว่ไม่มีทางกันแดดกันฝนได้เด็ดขาด ผมเดินผ่านทีไรมักจะอดหันเข้าไปมองไม่ได้ เห็นขยะเกลื่อนกลาด บางวันเห็นหนูตัวโตๆ วิ่งปรู๊ดปร๊าด บางวันก็มีแมวดำมากระโดดโหยงๆ บางตัวก็ขึ้นไปนั่งเลียขนอยู่บนผนังกั้นห้องที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง

หน้าฝนยิ่งแล้วใหญ่ น้ำเจิ่งนองเกือบครึ่งน่อง เห็นขยะลอยเป็นแพ...ดูๆ แล้วเหมือนคนตายที่มีบาดแผลเหวอะหวะเต็มตัว แล้วศพถูกทิ้งประจานเอาไว้ไม่มีผิด

ไม่รู้ว่าเป็นตึกร้างมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่แน่ๆ คือกลายเป็นแหล่งมั่วสุมพวกขี้ยาไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน บางครั้งก็มีหนุ่มสาวใจถึงจูงมือกันเข้าหลบมุมพลอดรัก...ไม่รู้ว่าใน บรรยากาศแบบนั้นยังอุตส่าห์มีอารมณ์เข้าไปได้ยังไง?

ได้ข่าวว่าเคยมีผู้หญิงถูกมารสังคมฉุดเข้าไปข่มขืนด้วย แต่ยังโชคดีที่ไม่ถึงกับโดนฆ่าทิ้ง แต่บางรายก็วิ่งเตลิดหนีออกมาได้

คืนหนึ่งราวสี่ทุ่ม ผมกับเจ้าใหม่ว่าจะดับไฟเข้านอนก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอ็ดตะโรดังลั่น เรารีบเปิดหน้าต่างจากชั้นบนลงไปดู ก็เห็นหลังไ�
��ๆ ของชายคนหนึ่งวิ่งผ่านห้องเช่าไปทางก้นซอย...ห้องข้างๆ ก็โผล่ออกมาดูเช่นกัน เขาบอกว่านั่นไอ้เป๋-ขี้ยาประจำซอย ลักเล็กขโมยน้อยได้ก็รีบไปซื้อยาเสพติดทันที

"สงสัยจะโดนผีหลอก...เจอกันหลายรายแล้วแต่ไม่รู้จักเข็ดซะที"

พี่อรรถ-เช่าห้องอยู่ก่อนเราบอกเล่าให้ได้รับความรู้...ครั้นกลับเข้าห้อง เจ้าใหม่ก็หัวเราะเยาะ บอกว่าจนถึงสมัยมีมือถือ แถมถ่ายรูปได้ ถ่ายคลิปได้ ยังจะหลงเชื่อเรื่องผีอยู่อีกเหรอเนี่ย? ผมเตือนมันว่าอย่าทำพูดดีไป เดี๋ยวเจอกับตัวเองแล้วจะรู้สึก! เจ้าใหม่กลับบอกว่ารู้สึกโล่งใจน่ะซีที่รู้ว่าโลกนี้ยังมีผีๆ สางๆ อยู่จริง

วันรุ่นขึ้นก็ได้รู้จากพี่อรรถว่า...ไอ้เป๋กำลังพี้ยาอยู่ดีๆ ก็มองเห็นร่างหนึ่งห้อยหัวลงมาจากเพดาน หน้าเน่าเฟะแทบจะชนหน้ามัน เท่านั้นเองไอ้เป๋ก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องจ้า วิ่งปุเลงๆ ร้องโวยวายออกมาอย่างที่เราเห็น...เจ้าใหม่กลับบอกว่าไอ้เป๋เมายาจนตาฝาด เพี้ยนไปเองน่ะซี!

อาทิตย์ต่อมา เพื่อนปากเสียของผมก็เจอของจริงเข้าเต็มเปา

คืนนั้น เรานั่งโจ้เหล้ากันในห้องเพราะปลายเดือนเต็มที พรุ่งนี้ก็ต้องไปทำงานแต่เช้า กะว่าหมดแบนนี้จะเข้านอน ...ราวสามทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เสียงร้องโหยหวนบาดใจก็ดังขึ้นจากตึกร้างหลังนั้นเอง...เราลุกพรวดไปดูก็ เห็นภาพนั้นเต็มตา

จันทร์เต็มดวงกับแสงไฟข้างถนน เห็นชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งหน้าตั้งออกมา ดูเหมือนเสื้อผ้าจะยังไม่เรียบร้อย ฝ่ายหญิงร้องไห้พลางวิ่งพลาง...โอ๊ย! ผีหลอก! ช่วยด้วย...

ไม่ว่าใครก็เดาได้ว่าหนุ่มสาวไปพลอดรักกันแล้วโดนผี หลอกกระเจิงออกมา แต่เจ้าใหม่ยังอุตส่าห์บอกว่า...สงสัยเห็นแมวดำละมั้ง เลยนึกว่าผี...

เสียงมันขาดหายไป ผมเอะใจก็ละสายตาจากคนที่วิ่งไปทางก้นซอย มองตามสายตาของเพื่อนไป...ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าโดดเด่น ชัดเจนอยู่ในแสงไฟ คือร่างดำทะมึนของชายที่นุ่งกางเกงขาสั้นตัวเดียว เปลือยอกกว้างกำยำ ร่างสูงตระหง่านกำลังเงยหน้าช้าๆ ขึ้นมามอง

นรกเป็นพยาน! นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟร้อนโชนจ้องหน้าเจ้าใหม่เขม็ง ส่วนเพื่อนผมก็ร้องแต่อะๆ อ้าๆ ไม่เป็นภาษาก่อนจะเข่าอ่อน ทรุดฮวบลงสลบเหมือดคาที่... พอฟื้นขึ้นมาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเกือบตลอดคืนเลยครับ!



ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ความสำคัญ ของวันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร







วันอาสาฬหบูชา มีความสำคัญ..
วันอาสาฬหบูชา สำคัญอย่างไร!??

วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา

ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม

เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่น สาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น

จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ

โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและ สามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘


ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า

ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ


ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็�
��กลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ


๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่


๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน


ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่


๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ

๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา

๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น




ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ

ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า 





ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com

ผี เรื่องผี คำสาปแห่งความรัก




หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง
ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น

แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น

ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่าง รวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ

จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง

และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)

ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมอง ดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควัน ธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ

ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา

แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว

ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตา�
�กแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ

และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์ มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม

แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลย มองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้อง กรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง

เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ใน
ใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะ

เอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า" จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือด เต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว

เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมี ความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียง

เวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่าง มีความสุด

แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา

เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม





ที่มาจาก   http://www.shockfmclub.com